ซางเจี้ยนเย่ามองตอบเจี่ยงไป๋เหมียนไม่หลบสายตา
“อาจเป็นความเข้าใจผิดก็ได้ ระดับสูงของนิกายอาจจะไม่ได้ทำอะไร ที่หวังย่าเฟยหัวใจวายตายอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริงๆ”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มทันที
“ไม่เลวนี่ ถึงกับคิดคำอธิบายข้อที่สามออกมาได้”
หลังจากที่ชมเชยไปหนึ่งประโยค เธอก็เปลี่ยนเรื่อง
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งคิดว่าระดับสูงของนิกายไม่น่าจะทำเรื่องเสี่ยงแบบนี้
“แต่พอคิดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว กลับรู้สึกว่าพวกเขาน่าสงสัยอยู่มาก”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าถามอะไร เธอก็พูดต่อ
“งั้นพวกเรามาตั้งสมมติฐานกันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นความบังเอิญจริงๆ แล้วก็สมมติให้ตัวนายเป็นระดับสูงของนิกาย
“พอนายรู้ว่าเหรินเจี๋ยพูดว่าหวังย่าเฟยเป็นคนบาป เทพีจะลงโทษคนบาป ถัดจากนั้นไม่นานหวังย่าเฟยก็ตาย นายจะคิดยังไง จะทำยังไง”
ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมจะคิดว่า
“จริงๆ แล้วนิกายของพวกเราทรงพลังขนาดนั้นเลยเหรอ
“จริงๆ แล้วตุลากรชะตา เทพีแห่งผู้ครองกาลยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ
“จริงๆ แล้วผมยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยเหรอ ที่ได้มาเข้าร่วมกับนิกายที่แข็งแกร่งแบบนี้ แถมยังกลายมาเป็นระดับสูงอีกด้วย”
“…ฉันไม่น่าถามนายเลย ให้ตายสิ” เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือกุมหน้าผาก
เธอครุ่นคิดแล้วก็พูดออกมา
“ถ้าหากว่าเรื่องการลงโทษหวังย่าเฟยไม่ได้เป็นฝีมือของนิกายจริงๆ และก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ก็ไม่แน่ว่าพวกระดับสูงอาจจะคิดแบบนี้จริงๆ ก็ได้…”
เจี่ยงไป๋เหมียนเปลี่ยนคำถามใหม่
“หลังจากที่รู้เรื่องพวกนี้แล้ว ถ้าหากว่าเป็นคนปกติ คิดแบบที่คนปกติคิดน่ะ พวกเขาจะคิดยังไง”
โดยไม่ให้ซางเจี้ยนเย่ามีโอกาสตอบ เธอก็พูดต่อ
“ในแง่หนึ่งก็อาจจะยินดี รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้สามารถใช้แสดงความยิ่งใหญ่ แสดงพลานุภาพแห่งตุลากรชะตา ทำให้ผู้ที่ศรัทธายิ่งทวีความเคารพมากขึ้น เชื่อฟังมากขึ้น และเผยแผ่ความเชื่อมากยิ่งขึ้นใช่ไหม”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ แสดงออกถึงว่าพวกระดับสูงโดยปกติก็ควรจะคิดเช่นนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ
“ในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาอาจจะเกิดความวิตกกังวลเล็กน้อย รู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มันประจวบเหมาะเกินไป กระทันหันเกินไป น่าตกใจเกินไป อาจจะทำให้ผู้ศรัทธาบางคนเกิดความหวาดกลัวจนทำให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงมากเกินไป อย่างเช่นไปรายงานกับบริษัท อย่างเช่นฆ่าตัวตาย อย่างเช่นเผยแผ่ความเชื่ออย่างเปิดเผย ใช่ไหมล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดจริงจังอยู่หลายวินาทีก่อนจะผงกศีรษะอีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจโล่งอก
“เรายังคงอยู่บนสมมติฐานที่ว่าพวกระดับสูงยังมีสมองเป็นปกติสมบูรณ์อยู่ล่ะนะ หลังจากที่เกิดความคิดทั้งสองด้านแบบนี้ขึ้นมาแล้ว พวกเขาจะทำยังไงต่อล่ะ”
เธอยังคงไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบ ถามเองตอบเองต่อทันที
“ก็ควรให้ ‘ผู้ชี้นำ’ ที่อยู่ภายใต้การสั่งการ รีบจัดการชุมนุมขึ้นอีกครั้งทันที ด้านหนึ่งก็เพื่อปลอบขวัญทุกคน อีกด้านหนึ่งก็เพื่อประกาศเผยแพร่พลานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์แห่งตุลากรชะตา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน ทำให้สถานการณ์ต่างๆ เป็นไปในทิศทางที่ดี
“แต่ตอนนี้ผ่านไปวันนึงแล้ว นายก็ยังไม่ได้รับข่าวว่าจะมีการจัดชุมนุม ต้องรู้ไว้นะ เรื่องฉุกเฉินแบบนี้ย่อมไม่อาจลากถ่วงให้เนิ่นนานได้ จะต้องรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุดตั้งแต่แรก”
ซางเจี้ยนเย่าพูด “อืม” หนึ่งคำ
“อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาโง่ไปหน่อย เลยไม่ได้คิดเรื่องนี้”
“เหตุผลเรื่องนี้ก็เป็นไปได้เหมือนกัน เราจะไปขอให้ศัตรูนั้นฉลาดหลักแหลม มีสติปัญญาครอบคลุมรอบด้าน ไม่ทำอะไรพลาดแม้แต่เรื่องเดียว ก็คงเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“แต่ว่านะ ข้อเท็จจริงก็คือว่านิกายของนายอยู่ในบริษัทมาตั้งหลายปี สามารถเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น แสดงว่าพวกระดับสูงนั่นไม่ใช่พวกสมองหมูอย่างแน่นอน อีกอย่างหนึ่ง การตายของหวังย่าเฟยมันบังเอิญมากเกินไป ดังนั้นในตอนนี้ฉันเลยยิ่งเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือพวกเขา ถ้าไม่ใช่เป็นพวกคลั่งศาสนาจนขาดสติ ก็ต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก”
“ดูแล้วก็น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า” ซางเจี้ยนเย่าดูเหมือนว่าจะสลับไปอยู่ในโหมดความคิดของมนุษย์ปกติแล้ว
“อืม… น่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่ก็เป็นทั้งสองแบบเลย” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย “เพราะถ้าเป็นพวกคลั่งศาสนาอย่างสุดโต่งก็คงถูกพบตัวแล้วก็โดนจับไปนานแล้วล่ะ”
เธอมองซางเจี้ยนเย่าทันที แล้วพูดเตือนเขา
“ฉันกลัวว่าถ้าหากนายตรงไปหาคนของ ‘แผนกควบคุมระเบียบ’ อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นก็ได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงมาก นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมระดับสูงของนิกายถึงได้มั่นใจนักว่าจะไม่มีใครสามารถทรยศหักหลังได้สำเร็จ
“นายอย่าเพิ่งรีบไปรายงาน แล้วก็ยังไม่ต้องเริ่มสืบสวนด้วย ตอนนี้ให้รอดูไปก่อน
“รอสักสองสามวัน หรืออาจจะสักสัปดาห์นึง รอจนระดับสูงของนิกายรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มซาลงแล้ว ไม่มีคลื่นลมอะไรอีก พวกเขาก็จะเริ่มผ่อนคลายลดความระมัดระวัง ไม่ได้ตื่นตัวขนาดนั้นอีก ตอนนั้นก็ค่อยลองทำอะไรดู”
ซางเจี้ยนเย่าขมวดคิ้ว
“ผ่านไปอีกสองสามวัน ก็ไม่เหลือร่องรอยอะไรแล้วน่ะสิ”
โดยเฉพาะเรื่องศพซึ่งจะถูกดำเนินการในอีกไม่นานนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนได้พิจารณาปัญหาเรื่องนี้ไว้แล้ว เธอพยักหน้าเล็กน้อย
“ในช่วงนี้ฉันจะลองใช้สายสัมพันธ์ที่มี หาโอกาสดูบันทึกจากวิดีโอกล้องวงจรปิดในชั้นที่เกี่ยวข้อง”
เธออธิบายต่อ
“เมื่อกี้นายเพิ่งบอกว่าหวังย่าเฟยตายกะทันหันตอนเก้าโมงกว่า วันนี้ก็ไม่ใช่วันหยุด คนที่อาศัยอยู่ในแต่ละชั้นในตอนนั้น ส่วนใหญ่จะต้องทำงานอยู่ที่ ‘เขตโรงงาน’ หรือไม่ก็ ‘เขตนิเวศน์ภายใน’ ดังนั้นใน ‘เขตที่พักอาศัย’ ก็แทบไม่เหลือใครแน่ๆ
“ในสถานการณ์แบบนี้ หากมีใครมาที่ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ในชั้นที่หวังย่าเฟยรับผิดชอบ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจน กล้องวงจรปิดที่ทางเข้าลิฟต์จะบันทึกภาพเขาไว้ได้อย่างแน่นอน
“คนที่เดินไปเดินมาในช่วงเวลาทำงาน มีไม่เยอะนักหรอก
“อืม… ไม่ใช่ดูกล้องวงจรปิดแค่ชั้นที่เกิดเหตุเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงชั้นใกล้เคียงทั้งชั้นบนชั้นล่างถัดไปอีกสองชั้นด้วย เพราะพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้น่าจะสามารถทะลุผ่านเพดานได้ตราบเท่าที่มันอยู่ในระยะขอบเขตพลังในแนวตรง”
นี่เป็นเรื่องที่ซางเจี้ยนเย่าเคยพูดไว้ และการ ‘ทำเสน่ห์’ ของเฉียวชูก็ยิ่งตอกย้ำในเรื่องนี้เข้าไปอีก
ซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะ
“สามารถใช้พลังทะลุสิ่งกีดขวางได้ แต่ว่าระยะทางจะลดลง
“นอกจากนั้นก็คือไม่มีทางระบุเป้าหมายที่แน่นอนได้ ทำได้เพียงแค่แยกแยะในพื้นที่บริเวณที่กำหนดว่าเป็นจุดไหน มีคนอยู่หรือเปล่า ประมาณกี่คน”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือถ้าหากว่าผู้ตื่นรู้คนนั้นพยายามจะ ‘ประหารชีวิต’ หวังย่าเฟยผ่านเพดานจากชั้นใกล้เคียง ไม่ว่าจะชั้นบนหรือชั้นล่าง ย่อมเกิดโอกาสสังหารผิดตัวได้อย่างง่ายดาย ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้เลย
“นั่นก็จริงแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิด “หวังย่าเฟยมีโอกาสจะอยู่คนเดียวในสถานที่ที่แน่นอนและเวลาที่แน่นอนบ้างไหม อย่างเช่นในห้องทำงานน่ะ ถ้ารู้เวลารู้สถานที่แบบนี้ ก็สามารถลงมือฆ่าเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ… ไม่สิ… ตั้งแต่ที่เขากลายเป็นคนบาปแล้วก็ตายอย่างกะทันหัน เวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่สามชั่วโมงกว่าเอง เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ตื่นรู้คนนั้นจะรู้ถึงรูปแบบกิจวัตรของเขาได้ ถึงจะไปถามคนนั้นคนนี้ทีละคนก็ไม่ทันเวลาอยู่ดี
“อืม… ดูแค่กล้องวงจรปิดของชั้นที่เกิดเหตุก็พอแล้ว ดูว่าช่วงเวลาก่อนหลังที่เกิดเหตุว่ามีใครเข้าออกบ้าง ไม่สิ… ยังต้องดูทั้งสามชั้นนั่นแหละ ระวังไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะถึงยังไงก็ยังไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของนายกับผู้ตื่นรู้คนอื่นได้ตรงๆ”
จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นมา
“แล้วถ้าหากว่าไม่เจอผู้ต้องสงสัยล่ะ”
“งั้นก็หมายความว่านักฆ่าอาจจะทำงานในชั้นเดียวกับพื้นที่เกิดเหตุ ดีไม่ดีอาจจะทำอยู่ใน ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ด้วยก็ได้ ถึงแม้ว่าความน่าจะเป็นในเรื่องนี้จะต่ำมาก แต่ก็ยังตัดทิ้งไม่ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนเม้มปากพูด “ลองดูว่าในช่วงเวลานั้นมีใครเข้าใกล้ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ บ้างไหม และน่าจะต้องตรวจสอบลักษณะจำเพาะของพวกพนักงานใน ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ด้วย”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็มองดูซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ผู้ตื่นรู้จะต้องสละหนึ่งอย่างเพื่อแลกกับพลังพิเศษสามอย่างใช่ไหมล่ะ ในเมื่อเขามีสิ่งที่ต้องสละ ก็น่าจะแสดงอาการผิดปกติอะไรบางอย่างออกมาแน่นอน
“นี่แหละคือเบาะแส”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า จากนั้นคิ้วก็กระตุก
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มออกมา
“นายเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้างแล้วสินะ
“การใช้อาการป่วยทางจิตเวชเพื่อปกปิดความคิดที่กระโดดไปมาและผิดปกติเนี่ย ถือว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียวแหละ แต่ว่าในสายตาของบริษัท นี่ก็จัดว่าเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งเหมือนกัน จึงคุ้มค่าที่จะเฝ้าติดตามและสังเกต
“นายคิดเหรอว่าผู้บริหารระดับสูงของบริษัทจะไม่มีข้อมูลพื้นฐานของผู้ตื่นรู้น่ะ
“นายคิดเหรอว่าความผิดปกติของอาสาสมัครโครงการวิจัยจะถูกปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“นายคิดเหรอว่าคนที่มีความผิดปกติทางจิตระดับปานกลาง เพียงแค่ยื่นใบสมัครก็สามารถเข้าร่วม ‘ทีมสำรวจเก่า’ แล้วก็ออกไปเดินเอ้อระเหยบนพื้นโลกได้
“แน่นอนว่านี่เป็นเพราะบริษัทต้องการให้นายอยู่ในสภาพแวดล้อมรูปแบบต่างๆ เพื่อสังเกตสถานการณ์ของนายและประเมินว่านายมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้างมั้ย และฉันนี่แหละ ที่เป็นผู้สังเกตการณ์คนนั้น”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของซางเจี้ยนเย่านั้น ยิ่งทีก็ยิ่งเคร่งเครียด เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มแล้วถอนหายใจ
“ยังดีที่ฉันมันคนใจอ่อน…
“ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมนายถึงต้องปิดบังเอาไว้ แต่ถ้านายอยากปิดก็ปิดไปเถอะ”
ซางเจี้ยนเย่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ
“เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์พลิกสถานการณ์[2]น่ะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เรื่องการตายของหวังย่าเฟยก็จะดำเนินการไปตามที่พวกเราคุยกันไว้เมื่อกี้นี้แหละ
“นายต้องอดทนรอไปช่วงหนึ่งก่อนที่จะรายงานไป ส่วนฉันก็จะหาโอกาสดำเนินการสืบสวนทางเทคนิครอบนอกไปด้วย”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้โต้แย้ง พูดเสียงกระซิบ
“ระวังตัวด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มอย่างสดใส
“ฉันต้องหาข้ออ้างกับเหตุผลเอาไว้อยู่แล้วน่า ฉันไม่ได้โง่ซักหน่อย”
พูดไปเธอก็ยกมือลูบเครื่องช่วยฟังแล้วหัวเราะหยอกล้อ
“เกือบฟังไม่ชัดอยู่แล้วเชียว!
“ทีหลังถ้าจะแสดงความห่วงใยคนอื่นก็พูดให้มันดังๆ หน่อยนะ”
“ได้ครับ หัวหน้า!” ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างหนักแน่นเต็มเสียง
เจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจแล้วชี้ไปที่หนังสือบนโต๊ะ
“นี่เป็นข้อมูลของโลกเก่าบางส่วน นายเอาไปอ่านดู
“หลังจากนี้ไป ช่วงเช้าเราจะอ่านเนื้อหาข้อมูลแล้วมาถกกัน ตอนบ่ายค่อยฝึกซ้อมภาคปฏิบัติ”
ซางเจี้ยนเย่ารับเนื้อหาข้อมูลมา แล้วหาที่นั่ง นั่งอ่านอย่างเงียบสงบอย่างยิ่ง
ผ่านไปไม่นาน ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงก็มาถึง แม้จะเป็นวันหยุดก็ตาม
* * * * *
เมื่อถึงตอนเย็น หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงกินอาหารกันที่โรงอาหารเล็กเสร็จแล้วก็พากันลงลิฟต์กลับไปยังชั้นที่ 495
พวกเขาเพิ่งจะเข้าใกล้ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ก็พลันได้ยินเสียงอลหม่าน
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไร รีบเดินเข้าไปแล้วก็เห็น ‘เจ้าหน้าที่ควบคุมระเบียบ’ ในเครื่องแบบสีดำสองนายเดินผ่านไป มีคนผู้หนึ่งถูกจับกุมเดินอยู่ข้างหน้า
คนผู้นั้นถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังเอาไว้ ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ดวงตาเบิกกว้าง ขุ่นมัว เส้นเลือดแดงก่ำ
หลงเยว่หงผงะ
“คนไร้ใจ!”
ซางเจี้ยนเย่าจำคนๆ นั้นได้
เสิ่นตู้
ห่างออกไปเล็กน้อย มีเด็กคนหนึ่งถูกแม่กอดไว้แน่น เขาร้องไห้ฟูมฟายเสียงดังลั่น
“ป๊ะป๋า ป๊ะป๋า…”
* * * * *
[1] ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า (姜是老的辣)อุปมาว่าผู้ที่มีอายุมากกว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้รวดเร็วกว่าและดีกว่า เนื่องจากสั่งสมประสบการณ์ที่มากกว่า คำอื่นที่คล้ายกันคือ ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด เหล้ายิ่งเก่ายิ่งหอม
[2] กลยุทธ์พลิกสถานการณ์ (出其不意) มาจากตำราพิชัยยุทธซุนจื่อ (ซุนหวู่) ประโยคเต็มคือ 攻其无备,出其不意 แปลว่า ‘โจมตีเมื่อยามไม่ทันระวัง ใช้กลยุทธ์ที่คู่ต่อสู้คาดไม่ถึง’