ชั้น 349 นั้นแตกต่างไปจาก ‘เขตที่พักอาศัย’ ส่วนใหญ่ เพราะห้องพักนั้นไม่ได้สร้างกันอย่างหนาแน่น เรียกได้ว่าบางตาเสียด้วยซ้ำ
ทันทีที่เจี่ยงไป๋เหมียนออกจากลิฟต์มาก็เห็นลานจัตุรัสขนาดเล็ก
กลางลานจัตุรัสมีแปลงดอกไม้ที่เต็มไปด้วยดิน ในแปลงนั้นปลูกต้นไม้สีเขียวที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป
แสงที่สาดส่องจากเพดานในบริเวณนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับแสงธรรมชาติบนพื้นโลกมากกว่าแสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ตามปกติ
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูดอกไม้ต่างๆ ซึ่งมีที่ทั้งบานทั้งร่วงโรย จากนั้นก็เลี้ยวไปยังถนนด้านซ้าย เข้าไปที่ห้อง 12 เขต C
หลังจากเข้าประตูไป สิ่งแรกที่เธอมองเห็นก็คือห้องนั่งเล่นที่มีโซฟา โต๊ะวางถ้วยน้ำชา เก้าอี้ วิทยุ และข้าวของอื่นๆ ห้องนั่งเล่นอยู่ด้านซ้ายมือ พื้นที่ที่เชื่อมต่อกับห้องครัวก็คือห้องอาหาร
ด้านในของห้องนั่งเล่นก็ยังมีห้องอยู่อีกหลายห้อง
ในขณะนี้มีผู้สูงวัยอายุเกินครึ่งร้อยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง ใช้แสงไฟจากถนนด้านนอกอ่านหนังสือในมือ
เส้นผมของผู้สูงวัยยังคงดกดำ มีผมหงอกแซมอยู่เพียงประปราย
คิ้วของเขาตั้งราวกับดาบ ดวงตาโต หากย้อนวัยกลับไปสักไม่กี่สิบปีจะมีหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้คนรุ่นปัจจุบันที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมากนัก
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองผู้สูงวัย ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วกดสวิทช์บนผนังข้างบานประตู
กริ๊ก!
แสงไฟในห้องสว่างขึ้น ส่องภายในให้สว่างราวกับเวลากลางวัน
“พ่อ ทำไมไม่ยอมเปิดไฟอีกแล้วล่ะคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตำหนิออกมาหนึ่งประโยคด้วยความเป็นห่วง
เจี่ยงเหวินเฟิงลดหนังสือในมือลงแล้วหัวเราะฮาฮา
“ไฟถนนสว่างตั้งขนาดนี้ จะเปิดไฟทำไมอีก
“ต้องรู้จักประหยัดพลังงานไว้บ้าง สมัยที่พ่อยังหนุ่มนะ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบยกมือแตะหูทันที
“หือ พ่อว่าไงนะ
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องรู้จักถนอมสายตาบ้างสิ!”
เจี่ยงเหวินเฟิงสวมเสื้อสีดำซึ่งมีกระเป๋าที่หน้าอกทั้งสองข้าง วางหนังสือในมือลงแล้วลุกขึ้นยืน
“หูของลูกนี่ยังสู้สมัยตอนที่ปู่ยังอยู่ไม่ได้เลย!” เขาจงใจเดินไปข้างเจี่ยงไป๋เหมียนแล้วพูดเสียงดัง “รีบไปผ่าตัดซะที ประสาทหูเทียมชีวภาพแบบฝังเนี่ย มีประสิทธิภาพดีกว่าที่ลูกใช้อยู่ตอนนี้อย่างน้อยก็สามเท่า!”
เจี่ยงไป๋เหมียนอ้าปากหัวเราะแห้งๆ
“คิดว่าหนูไม่กลัวการผ่าตัดหรือไงคะ
“ของมันยังใช้ได้ก็ใช้แบบนี้ไปนั่นแหละ”
“จะไปกลัวอะไร” เจี่ยงเหวินเฟิงพูดซ้ำคำเดิมที่ไม่ทราบว่าพูดมาแล้วกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง “ตอนที่รับการดัดแปลงพันธุกรรมกับตอนที่ปลูกถ่ายแขนเทียมชีวภาพ ยังไม่เห็นจะกลัวเลย”
เจี่ยงไป๋เหมียนเถียงกลับ ทั้งขบขันทั้งจนใจ
“ก็ตอนนั้นหนูหมดสติอยู่ จะไปกลัวได้ไงล่ะคะ”
“เดี๋ยวตอนผ่าตัด เขาก็ให้ดมยาสลบไม่ใช่รึไง” เจี่ยงเหวินเฟิงรู้สึกว่าลูกสาวคนเล็กไม่ยอมปล่อยให้ตนเองหมดห่วงเสียที
เจี่ยงไป๋เหมียนเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะเม้มปากแน่น
“หนูกลัวความรู้สึกที่ว่าไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองตายไปแล้ว”
โดยไม่รอให้เจี่ยงเหวินเฟิงพูดอะไร เธอรีบมองไปรอบๆ
“แม่ล่ะคะ”
“บริษัทส่งแอปเปิลมาให้สองลัง แม่เลยหอบเอาลังหนึ่งไปให้พี่ชายของลูกน่ะ” เจี่ยงเหวินเฟิงตอบด้วยความรู้สึกจนใจ
“อ๋อ” เจี่ยงไป๋เหมียนแกล้งทำเป็นอ๋อ “ให้หนูช่วยปอกแอปเปิลให้ไหม”
“ไม่ต้องหรอก เพิ่งกินมื้อเย็นไปตะกี้นี้เอง” เจี่ยงเหวินเฟิงสั่นศีรษะ
เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่ห้องหนังสือ
“หนูขอใช้คอมฯ พ่อหน่อยนะ”
“เอาเลย เอาเลย” ใบหน้าเจี่ยงเหวินเฟิงค่อนข้างนิ่งเฉย
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบสาวเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปยังห้องหนังสือ เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของบิดาแล้วเข้าใช้งานด้วยบัญชีภายในบริษัทของเขา
‘ผานกู่ชีวภาพ’ มีการสร้างระบบเครือข่ายข้อมูลภายใน
ผู้ที่มีคอมพิวเตอร์และมีสิทธิ์การเข้าถึงก็สามารถเข้าไปในระบบเพื่อเรียกดูข้อมูลสาธารณะและจัดการเรื่องต่างๆ ตามระดับสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องได้
แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์การเข้าถึงที่แตกต่างกันก็ย่อมมองเห็นเนื้อหาและคุณสมบัติที่ใช้งานได้ไม่เหมือนกัน แม้แต่การเข้าใช้งานจากสถานที่ที่ต่างกัน ก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างไปด้วยเช่นกัน
สำหรับพนักงานส่วนใหญ่ของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่หายาก สามารถเห็นได้เพียงแค่ในที่ทำงานเท่านั้น และก็มีจำนวนน้อยอีกด้วย
เจี่ยงไป๋เหมียนใช้บัญชีของบิดาเข้าสู่ระบบ เธอไล่ดูเนื้อหาที่มีระดับความลับต่ำทุกประเภทตามลำดับเวลา
เธอไม่ได้ใจร้อน เปิดดูเรื่อยๆ ทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ
ข่าวที่แสดงไว้ที่นี่มีจำนวนมากกว่าและมีรายละเอียดมากกว่าที่ประกาศข่าวทางวิทยุ
ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นหัวข้อหนึ่ง
‘รายงานการสืบสวนตามขั้นตอนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของหวังย่าเฟย พนักงานระดับ D8’
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบคลิกเข้าไปแล้วตั้งใจอ่าน
‘…หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าและให้หลัง กล้องวงจรปิดที่โถงหน้าลิฟต์ไม่พบบุคคลภายนอกที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในชั้นที่เกิดเหตุ…
‘…พนักงานหลายคนยืนยันว่าในเวลานั้นไม่มีใครอยู่ใกล้หวังย่าเฟย…
‘…ผลการชันสูตรระบุว่าการเสียชีวิตเกิดจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน…
‘ข้อวินิจฉัย : ตัดประเด็นฆาตกรรม เป็นการเสียชีวิตตามธรรมชาติ’
เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนใจเงียบๆ
“ระบบต่างๆ ของทางบริษัทนี่พัฒนาไปไกลถึงขนาดนี้แล้ว…”
นี่หมายถึงว่าหลังจากการก่อตั้งบริษัทขึ้นมา ก็มีประสบการณ์ในการป้องกันความเสียหายจากปัจจัยต่างๆ รวมถึงผู้ตื่นรู้ด้วยเช่นกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ค้างอยู่ที่หน้าปัจจุบันนานเกินไปนัก เธอรีบปิดแล้วไล่ดูเนื้อหาอื่นๆ ต่อไป
หลังจากที่อ่านเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องไปมากมาย เธอก็เข้าไปที่ส่วนของการแพทย์เพื่อดูข้อมูลการดูแลสุขภาพต่างๆ
ระหว่างขั้นตอนนี้เธอทำเหมือนกับว่าค้นหาไปเรื่อยเปื่อยด้วยคำค้นว่า
‘กรณีการเสียชีวิตจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในรอบห้าปีที่ผ่านมา’
ในไม่ช้าผลลัพธ์ก็ปรากฏออกมาให้เห็น ความน่าจะเป็นโดยรวมอยู่ในช่วงปกติ
เจี่ยงไป๋เหมียนเลื่อนลงไปดูหมายเหตุเพิ่มเติมด้านล่าง คิ้วก็พลันกระตุกทันที
ช่วงปีที่ผ่านมา ชั้น 478 มีผู้เสียชีวิต 2 รายจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
และชั้น 478 ก็คือชั้นที่มี ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ซึ่งหวังย่าเฟยเป็นผู้รับผิดชอบ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่เขาเสียชีวิตอีกด้วย
เขาเป็นรายที่สอง
ในแง่ของสัดส่วนประชากร ตัวเลขดังกล่าวไม่ถือว่าสูงเกินไป และเป็นที่ยอมรับได้อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ในสายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนที่มีความกังขาอยู่ กลับรู้สึกว่านี่มันน่าสงสัยมาก
ตามบันทึกก่อนหน้านั้น อัตราการเสียชีวิตจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในชั้น 478 อยู่ในอัตราปกติ เกิดเพียงปีละครั้งหรือไม่มีเลย
เจี่ยงไป๋เหมียนปิดหน้านี้แล้วก็ไปเปิดเรียกดูเนื้อหาอื่นๆ ต่อ
แต่ทว่าสายตาเธอนั้นกลับไม่ได้อ่านเนื้อหาเบื้องหน้า
“นี่หมายความว่าผู้ตื่นรู้คนนั้นอาศัยอยู่ที่ชั้น 478 งั้นเหรอ แล้วก็เพิ่งจะตื่นรู้เมื่อปีที่แล้วนี่เอง
“จากมุมมองทางจิตวิทยา ถ้าหากว่าได้รับพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้มา ก็ยากที่จะอดใจไม่ไปทดสอบได้… มีความเป็นไปได้สูงที่จะไปแก้แค้นเป้าหมายที่ตนเองเกลียดชัง…
“และนอกจากนั้น นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่าทำไมนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ถึงดำเนินการกับหวังย่าเฟยในครั้งนี้… ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว แต่ละครั้งที่ เอ่อ… ช่วงแบ่งปันความทุกข์ใจก็ย่อมต้องมีการกล่าวโทษคนนั้นคนนี้อยู่แล้ว แต่ว่าก่อนหน้านี้ซางเจี้ยนเย่าก็ไม่เคยเห็นว่าจะมีใครตายเพราะเรื่องนี้มาก่อน…
“ต้องเป็นเพราะว่าหวังย่าเฟยทำงานอยู่ในชั้นที่มีผู้ตื่นรู้ของนิกายอาศัยอยู่ ก็เลยลงล็อคพอดี ไม่มีการทิ้งเบาะแสให้บริษัทตรวจพบ ดังนั้นนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ จึงลงมือสร้าง ‘เทวทัณฑ์’ ในครั้งนี้ เพื่อทำให้พวกสาวกในชั้น 495 เกิดความยำเกรงตุลากรชะตามากยิ่งขึ้น เคารพเลื่อมใสยิ่งขึ้น และเชื่อฟังมากยิ่งขึ้นอย่างนั้นเหรอ
“แล้วทำไมเสิ่นตู้ถึงเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ได้ล่ะ
“ในเมื่อมีวิธีที่สะดวกสบายเช่นนี้อยู่ แล้วทำไมถึงให้ผู้ตื่นรู้ลงมือฆ่าหวังย่าเฟยด้วยล่ะ ทำให้เขาเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ไม่ดีกว่าหรือไง ทั้งปิดบังได้ดีกว่า ทั้งมีประสิทธิภาพมากกว่า
“หรือว่านี่ไม่ใช่ ‘โรคไร้ใจ’ แต่เป็นพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ที่ทำให้เกิดอาการที่คล้ายกัน”
ความคิดในสมองของเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่านไปมา แต่เมื่อดูจากภายนอกยังคงเปิดดูข้อมูลอย่างสงบเยือกเย็น
* * * * *
ยามเช้ามืด ช่วงเวลาตีห้ากว่า ซางเจี้ยนเย่าตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูเบาๆ
ครั้งนี้เขาไม่ได้แปรงฟัน เพียงแค่ล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ตัวเองสดชื่น
จากนั้นก็สวมเสื้อคลุมทำจากผ้าฝ้ายตัวหน้าสีเขียวแบบเดียวกับเสิ่นตู้ ถือไฟฉายกระบอกหนาเทอะทะเดินออกจากห้องไปยังเขต A
ระหว่างที่เดินเขาก็มองดูเพดาน
ตรงนั้นมีจุดสีแดงกะพริบอยู่ แสดงว่าเป็นกล้องวงจรปิด
มีพนักงานจำนวนมากที่เชื่อว่ากล้องวงจรปิดนั้น นอกจากในพื้นที่สำคัญบางจุดแล้ว กล้องส่วนใหญ่ล้วนเสียหาย ไม่สามารถใช้งานได้ แค่ติดตั้งเอาไว้เพื่อปรามทุกคนเท่านั้น แต่ว่าก่อนหน้านี้ซางเจี้ยนเย่าได้ยินเจี่ยงไป๋เหมียนพูดถึงการตรวจสอบและเฝ้าระวัง จึงรู้สึกว่ากล้องวงจรปิดที่ใช้งานได้นั้นดูเหมือนว่าน่าจะมีมากกว่าที่คาดเอาไว้ไม่น้อย
ทันใดนั้นเขาก็ยกแขนขึ้นมาแล้วฉายไฟส่องไปที่กล้อง
จากนั้นก็เข้าไปชิดผนังซึ่งเป็นมุมอับ
เพียงไม่นานซางเจี้ยนเย่าก็มาถึงบ้านของหลี่เจินในเขต A
หลังจากตรวจสอบรหัสตามขั้นตอนแล้ว เขาก็เข้าไปในห้อง หาที่นั่งเพื่อนั่งลง
การชุมนุมครั้งนี้บรรยากาศแตกต่างไปจากปกติที่เคยเป็น ก่อนที่ ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยจะเดินออกมาก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดคุยกัน ทุกคนดูเหมือนมีท่าทีอึดอัด ไม่รู้ว่าคิดอะไรกันอยู่
ในหมู่พวกเขานั้น คู่สามีภรรยาเจี่ยนซินกับจั๋วเจิ้งหยวนเปลี่ยนท่านั่งเป็นครั้งคราว ดูกระสับกระส่ายเป็นอย่างมาก
ในที่สุด ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยก็เดินออกมาจากห้องด้านใน ผ่านช่องว่างระหว่างตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของ และเตียงหลังใหญ่
เธอมองไปรอบๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
“วันนี้ที่เรียกทุกคนมาชุมนุมกันก็เพราะว่ามีเรื่องหนึ่งจะแจ้งให้ทราบ”
ขณะที่พูดนั้นร่างกายก็สั่นเทาเล็กน้อยราวกับว่ากำลังเกรงกลัวอะไรบางอย่าง แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับดูรุนแรงเกรี้ยวกราด
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เหรินเจี๋ยก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“เสิ่นตู้คิดจะทรยศนิกาย จึงได้รับเทวทัณฑ์ไปแล้ว”