ตอนที่ 1: ผมจะกลับมาอีก!
– โรงพยาบาลทหาร –
ณ ห้องฉุกเฉิน แพทย์ที่เก่งที่สุดทั้งห้าคนกำลังช่วยกันทำการผ่าตัดชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ล้อมรอบไปด้วยเครื่องมือผ่าตัดและเข็มฉีดยา ถ้าไม่มีภาพจากคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่กำลังแสดงว่าชายคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว
แต่ทว่า มีทหารสองนายกำลังยืนรออยู่นอกห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าเปื้อนเลือดและเสื้อผ้าขาดวิ่น ท่าทีของพวกเขาดูจะร้อนรนไม่น้อย
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ การผ่าตัดก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสองยืนรออยู่นอกห้องฉุกเฉินร่วมสองชั่วโมงอย่างทรมาน ประตูของห้องผ่าตัดก็เปิดออก ทั้งผู้บัญชาการ ครูฝึกและนายทหารทั้งสองก็วิ่งเข้าไปล้อมหมอเอาไว้
“เป็นยังไงบ้างครับหมอ?”
หมอทั้งห้าพลันถอยหายใจด้วยความโล่งอก “เขารอดแล้ว”
พวกเขารู้สึกโล่งใจไม่น้อย แต่ทว่า คุณหมอคนหนึ่งก็เผยสีหน้าไม่สู้ดีออกมาราวกับตัวเองยังพูดไม่จบ
“ทำไมครับหมอ? การรักษาอาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?”
คุณหมอพลันถอนหายใจ “อาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องกังวล แต่ปัญหาที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือเซรุ่มทางพันธุกรรมที่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วย เราเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน พูดง่ายๆ ก็คือ สารทางพันธุกรรมที่พบเป็นสารเคมีอันตราย และเนื่องด้วยการช่วยเหลือที่ช้าเกินไป เซรุ่มพวกนั้นก็ได้ไหลเข้าไปในกระแสเลือดของเขาแล้ว นั่นจะทำให้ความสามารถทางกายภาพของของผู้ป่วยลดลงอย่างเห็นได้ชัด”
“นี่มัน…” พวกเขาต่างรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
“ความสามารถทางกายภาพลดลง? “งั้นก็หมายความว่ามันจะส่งผลต่อความแข็งแกร่งและประสิทธิภาพร่างกายของเขาด้วยใช่ไหมครับ?”
คุณหมอพยักหน้า “แต่ผลกระทบยังคงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร ยังไงก็เถอะ หมอเสียใจที่กับนายทหารมือดีคนนี้ด้วย!”
ทุกคนพลันรู้สึกแย่กว่าเดิมทันทีที่หมอเดินจากไป
นายทหารคนหนึ่งเอามือก่ายหน้าผาก ส่วนอีกคนกำหมัดและชกเข้ากับกำแพงห้องจนถุงมือเปื้อนเลือด
“มันเป็นความผิดของฉันเอง!” เขาพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “พี่เฉิงบอกให้ถอยออกมาแล้ว แต่ว่าฉันกลับ…”
มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเขาไม่พูดอะไรต่อ แต่ในตอนนั้นเอง ครูฝึกก็รีบไปคว้าคอเสื้อของเขาและกล่าวคำพูด “ฉันบอกนายแล้วไงว่าทุกครั้งที่ทำภารกิจ… ให้ทำตามคำสั่งของเสี่ยวเฉิง นายไม่เข้าใจตรงนี้หรือยังไงกัน?!”
“ฉันก็แค่อยากจะเก็บมันไว้เป็นของที่ระลึกให้กับความสำเร็จของภารกิจนี้ ใครจะไปรู้กันล่ะว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่?!”
ทันใดนั้น ผู้บังคับบัญชาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันพูดขึ้น “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
นายทหารอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกายพลันตอบกลับ “พี่เฉิงบอกให้พวกเราถอนกำลังแล้ว แต่ว่าหลัวอี้ก็เหมือนจะวิ่งกลับเข้าไปหยิบของบางอย่าง ในตอนนั้น ก็มีนักวิจัยชีวเคมีคนหนึ่งโจมตีเขาจากด้านหลัง พี่เฉิงผลักหลัวอี้ออกไป นั่นทำให้เขาถูกนักวิจัยบ้านั่นฉีดสารพันธุกรรมบางอย่างใส่ตัว”
ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาก็มองไปยังหลัวอี้ “นายคงให้อภัยตัวเองจากความผิดที่ก่อไม่ได้สินะ”
“ผมก็แค่รู้สึกเสียใจแล้วก็อยากจะขอโทษพี่เฉิงก็แค่นั้น” หลัวอี้ตอบกลับ
จากนั้น ครูฝึกก็พลันพูดแทรกขึ้นมา “พูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เข้าไปดูเขาก่อนเถอะว่ายังไหวอยู่หรือเปล่า…“
ทหารทั้งสองนายพลันลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องคนไข้
ในตอนนั้น ครูฝึกก็พลันถามคำถามกับผู้บังคับบัญชา “แล้วถ้าเป็นแบบนี้ เขายังจะเข้าร่วมหน่วยรบมังกรได้ไหม?”
ผู้บังคับบัญชาตอบกลับอย่างไม่เต็มใจนัก “ภารกิจสำเร็จ แถมพวกเขาก็ทำลายฐานวิจัยจนไม่เหลือชิ้นดี ยังไงก็เถอะ ตอนนี้ความสามารถทางกายภาพหลายอย่างของเสี่ยวเฉิงก็ลดลงไปแล้ว นายก็รู้ดีว่าหน่วยรบมังกรรับเฉพาะพวกแข็งแกร่งเท่านั้น เราต้องให้ทีมประเมินความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาก่อน แต่ไม่ว่ายังไง นายก็ควรจะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้หน่อยนะ แต่แน่นอนว่าอย่ายอมแพ้ นายเป็นคนแนะนำให้ทั้งสามคนนั้นรู้จักกับหน่วยรบมังกรทั้งที จะพูดก็พูดเถอะ นายก็ยังเหลืออีกสองคนไม่ใช่หรือไงกัน? แถมสองคนนั้นก็ทำภารกิจสำเร็จแล้วด้วย พวกเขาจะได้เข้าร่วมหน่วยรบมังกรทันที”
ดูเหมือนศาสตราจารย์จะรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เขาพลันยืนพิงกำแพงพร้อมดูดบุหรี่
ถึงกระนั้น หลัวอี้ที่ยืนพิงประตูคนไข้อยู่อีกด้านหนึ่งก็ได้ยินบทสนทนาทั้งหมด เขาพลันน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่แดงก่ำ
เพื่อนของเขาอีกคนพลันนั่งเงียบและไม่ได้พูดอะไร ทั้งคู่ถึงกับตัวสั่นทันทีที่เห็นเสี่ยวเฉิง พวกเขาเพียงแค่มองหน้ากันและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก