ทว่า เสี่ยวเฉิงพลันส่ายหัว “คงเป็นไปไม่ได้หรอก ผมสัญญากับครูฝึกไปแล้วว่าจะกลับไปยังกองทัพภาคที่ห้าให้ได้”
หวังหยิงพลันขมวดคิ้วและตอบกลับ “แล้วกองทัพภาคที่ห้ามีอะไรดีล่ะ? ทั้งอุปกรณ์และทรัพยากรในการฝึกก็แทบจะไม่ได้เรื่อง อีกอย่าง เราไม่เคยเห็นผลลัพธ์อะไรที่โดดเด่นจากการแข่งฝึกซ้อมทางทหารประจำปีของพวกเขาเลยด้วย ไม่ได้อยากพูดให้รู้สึกแย่หรอกนะ แต่กองทัพภาคที่ห้าไม่ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของเขตทหารทั้งสามสิบแปดเขตในประเทศเลยด้วยซ้ำ”
เสี่ยวเฉิงพลันเผยยิ้มอย่างขมขื่น เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน? ในทุกปี ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเฉิง หลี่เหว่ยและหลัวอี้ที่เป็นผู้นำทีม พวกเขาก็อาจจะมาไม่ถึงจุดนี้… นี่ถือเป็นสาเหตุที่เบื้องบนมักจะไม่ค่อยให้ความสนใจกับความสามารถของทหารในกองทัพเป็นรายบุคคลเสียเท่าไหร่ นอกจากนี้ เบื้องบนเองก็มักจะเลือกแต่กองภาคที่อยู่ใกล้เคียงกับอันดับสูงสุดและส่งพวกเขาไปยังสถาบันทหารระดับสูงเพื่อรับการฝึกอบรมเท่านั้น นี่เป็นสาเหตุที่หวังหยิงและคนอื่นไม่เคยได้ยินเรื่องราวหรือชื่อของเสี่ยวเฉิงมาก่อนเลย ท้ายที่สุดแล้ว กองทัพภาคที่ห้าก็ถูกจัดอันดับให้อยู่แค่ระดับล่างเท่านั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับกองทัพภาคแปดที่ตั้งอยู่ในเมืองซ่างเฉิง
เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ “ตอนที่ถูกประกาศชื่อครั้งแรก ไม่มีใครต้องการตัวผมเลยนอกจากกองทัพภาคที่ห้า เพราะแบบนั้นแหละ ผมเลยยึดติดอยู่กับที่นั่น”
หวังหยิงพลันรู้สึกแย่เล็กน้อย “แต่สำหรับคนที่มีพรสวรรค์อย่างนาย มันก็น่าเสียดายมากเลยนะ”
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่ออกมาจากกองทัพระดับสูงจะมีทางเลือกในอาชีพการงานที่หลากหลายกว่า ทว่า หวังหยิงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเสี่ยวเฉิงถึงถูกย้ายให้มาอยู่ที่เมืองซ่างเฉิงเพื่อเป็นแค่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวน… หากเสี่ยวเฉิงเป็นคนที่ออกมาจากกองทัพที่ติดหนึ่งในห้าอันดับสูงสุดของประเทศ เขาก็คงจะมีหน้าที่การงานหรือไม่ก็ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ไปแล้ว
ทว่า เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่ได้สนใจอะไร สำหรับเสี่ยวเฉิงแล้ว ทุกที่ก็เหมือนกันหมดถ้าเขาไม่สามารถเข้าร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยรบมังกรได้ ในตอนนี้ เสี่ยวเฉิงเองก็ต้องการที่จะดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพราะเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต และแน่นอน เสี่ยวเฉิงเองก็ยังคงไม่ยอมแพ้กับความฝันสูงสุดของตัวเอง หลังจากที่เสี่ยวเฉิงเข้าใจสภาพร่างกายของตัวเองแล้ว เขาก็จะรีบส่งตัวเองเข้าไปในหน่วยรบมังกรทันที
เมื่อวันนั้นมาถึง เขาก็จะได้กลับไปเจอหลัวอี้และหลี่เหว่ยอีกครั้ง…
ในอีกด้านหนึ่ง ชิเหวินปินผู้พ่ายแพ้ก็ถูกทหารระดับแนวหน้าถึงสองนายยืนขวางทางอยู่หน้าสนามยิงปืน โดยปกติแล้ว ผู้คนที่นี่มักจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นหรือผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนมากเท่าไหร่นัก นอกจากนี้ ครั้นที่ทั้งสองกลับมาจากสโมสรกีฬาในวันที่เสี่ยวเฉิงทำลายเครื่องจักรจนเละ พวกเขาต่างก็นำเรื่องของเสี่ยวเฉิงไปเล่าให้ทุกคนในกองทัพฟังว่าเขามีพละกำลังมากขนาดไหน นั่นเป็นเพราะกำลังหมัดของเสี่ยวเฉิงนั้นมีมากกว่าหนึ่งพันกิโลกรัมเสียอีก… แต่ทว่า ก็ไม่มีใครเชื่อทั้งสองเลย เพราะมันดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าขันเกินกว่าที่จะเป็นจริงได้
ด้วยเหตุนั้น เมื่อเสี่ยวเฉิงถูกพาตัวเข้ามาที่นี่ ทหารหลายต่อหลายนายต่างก็ต้องการที่จะเจอกับ “ชายที่ถูกร่ำลือ”
“แล้วชายคนนั้นอยู่ไหนล่ะ? สัตว์ร้ายที่พวกนายเคยพูดถึงน่ะ” ทหารผ่านศึกระดับแนวหน้าพลันเดินเข้ามาขวางทางชิเหวินปินและคู่หูเอาไว้พร้อมกล่าวคำถาม
“หมอนั่นเดินไปไปทางนั้นกับครูหวังแล้วครับ” ชิเหวินปินพลันตอบกลับ “น่าจะกำลังจะไปทดสอบพละกำลัง ทั้งคู่น่าจะไปที่ห้องยกน้ำหนักแหละครับ”
ทหารทั้งสองพลันหันกลับไปและไปยังห้องยกน้ำหนักทันที อันที่จริง ทั้งคู่พลันสงสัยว่าทำไมคนที่เย็นชาและเฉยเมยอย่างหวังหยิงถึงพาผู้ชายคนอื่นเข้ามาเดินเล่นในกองทัพได้อย่างสบายใจแบบนั้น
เมื่อทั้งสองเดินตรงไป พวกเขาก็เห็นเสี่ยวเฉิงและหวังหยิงกำลังคุยกันอยู่ในห้องยกน้ำหนัก
“หยิง ชายคนนี้คือ…” ทั้งสองเดินตรงไปและแสร้งถาม
“อ่า ร้อยเอกทั้งสอง… เขาชื่อเสี่ยวเฉิงน่ะ เขาเคยอยู่ในกองทัพภาคที่ห้ามาก่อน แต่ตอนนี้ถอนตัวออกมาแล้ว” อันที่จริง หวังหยิงเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรออกไป เธอจึงแนะนำเสี่ยวเฉิงไปแบบนั้น “ฉันคิดว่ามันคงจะเป็นการเสียเวลาเปล่าถ้าจะปล่อยให้เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนอยู่แต่ในเมืองซ่างเฉิงแบบเดิม ฉันต้องการเชิญชายคนนี้ให้เข้าร่วมกับกองทัพภาคที่แปดของเรา”
ทว่า ทั้งสองก็พลันหัวเราะลั่น “เธอคิดอะไรอยู่กัน? ถึงกองทัพภาคที่แปดจะไม่ได้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของประเทศ แต่เราก็ยังอยู่ในสิบอันดับแรก อย่างที่รู้กัน กองทัพภาคที่ห้าอยู่แค่อันดับยี่สิบเจ็ดเองนะ คิดดีแล้วรึว่าอยากจะให้ชายคนนี้เข้ามาอยู่ร่วมกับเรา? เพราะถ้าเขาเก่งและฝีมือดีจริง ทำไมเขาถึงอยู่ได้แค่ในกองทัพภาคที่ห้าล่ะ?”