เสี่ยวเฉิงกำลังยืนอยู่บนสะพานพร้อมกับปล่อยให้สายลมปะทะใบหน้า เขาพลันจ้องมองไปยังโทรศัพท์โดยที่ยังลังเลว่าจะรับดีหรือไม่
เมื่อนึกย้อนกลับไปสี่ปีที่แล้ว… ตอนที่พ่อของหลินจื้อซือได้ทำการจัดตั้งพิธีสมรส เสี่ยวเฉิงก็พลันรู้สึกหดหู่ใจและเปล่าเปลี่ยวไม่น้อย นั่นเป็นเพราะเขาไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีสิ่งที่เรียกว่า “ความสุขของชีวิต” ที่จะมอบให้กับหลินจื้อซือ ซึ่งเธอเองก็เปรียบเสมือนกับเจ้าหญิงจากตระกูลผู้ร่ำรวย ด้วยเหตุนั้น ในคืนหนึ่งที่คฤหาสน์ของตระกูลหลิน เสี่ยวเฉิงจึงปฏิเสธข้อเสนอในการแต่งงานกับหลินจื้อซือไป
หลังจากนั้น เสี่ยวเฉิงและหลินจื้อซือก็ไม่สามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นเพื่อนสนิทในวัยเด็กด้วยกันได้อีก
แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว หลินกุ้ยเหริน… พ่อของหลินจื้อซือก็บังคับให้ทั้งสองแต่งงานกัน แต่ด้วยเหตุผลที่ทั้งสองเองก็มีช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่แล้ว ทั้งคู่จึงไม่เคยข้ามเส้นกันเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน แต่ทั้งสองก็แทบจะไม่ได้มองหน้ากันหรือคุยอะไรกันมากนักเลย
หลังจากที่หลินจื้อซือถูกบังคับให้ละทิ้งวิถีชีวิตแบบชนชั้นสูงจากสังคมอังกฤษและกลับไปยังเมืองหวาเซี่ยกับเสี่ยวเฉิง อารมณ์ของเธอก็พลันแปรเปลี่ยนและรู้สึกเฉยเมยต่อทุกสิ่งอย่าง ราวกับเธอกำลังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่มีหัวใจ เรื่องทั้งหมดนั้นทำให้เสี่ยวเฉิงรู้สึกผิดไม่น้อย ถ้าเขาจะต้องเป็นหนี้ใครสักคนหนึ่งในช่วงชีวิตนี้ บุคคลนั้นก็ต้องเป็นหลินจื้อซือนี่แหละ
ในสายตาของเสี่ยวเฉิง หลินจื้อซือเป็นผู้หญิงที่สูงส่งและสง่างามราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย ตั้งแต่ช่วงชีวิตตอนอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย เธอก็เป็นเหมือนกับศูนย์กลางความสนใจของผู้คนมาโดยตลอด อีกทั้ง ยังเป็นบุคคลที่เสี่ยวเฉิงไม่อาจละสายตาได้อีกด้วย
นอกจากนี้ หลินกุ้ยเหรินเองก็เป็นถึงผู้ประกอบการชาวอังกฤษที่เกิดในเมืองจีน ภายใต้อิทธิพลของสถานะทางสังคมที่แตกต่างกันอย่างมาก เสี่ยวเฉิงจึงรู้สึกไม่คู่ควรกับหลินจื้อซือเลยแม้แต่น้อย ในคืนนั้น เสี่ยวเฉิงปฏิเสธข้อเสนอของหลินกุ้ยเหรินไปก็เพราะอยากให้หลินจื้อซือได้รับอิสระ เสี่ยวเฉิงพลันรู้ดีว่าหลินกุ้ยเหรินทำเช่นนี้เพียงเพราะแค่เขาเป็นเพื่อนสนิทกับพ่อที่ล่วงลับไปแล้วของตัวเองมาก่อน อีกอย่าง เสี่ยวเฉิงเองก็ไม่เคยคิดเอาไว้เลยว่าหญิงสาวรูปงามอย่างหลินจื้อซือนั้นจะสนใจหรือชอบตน การแต่งงานที่ระหว่างหลินจื้อซือและเสี่ยวเฉิงจึงเป็นเหมือนงานที่จัดขึ้นเพราะความเห็นใจมากกว่า ด้วยเหตุนั้น เสี่ยวเฉิงจึงปฏิเสธข้อเสนอของหลินกุ้ยเหรินไป
ทั้งนี้ ภายใต้ความคิดนับพัน เสียงเรียกเข้าก็พลันหยุดลง
หลังจากนั้นไม่นาน โทรศัพท์ของเสี่ยวเฉิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ มันเป็นเบอร์โทรจากประเทศอังกฤษ
ทันทีที่เห็นเช่นนั้น เสี่ยวเฉิงก็รีบกดรับสาย
“ว่าไงพี่เขย! พวกเรากำลังจะไปหาในอีกสองวันนะ ที่ผมโทรมาบอกก่อนก็เพราะอยากให้พวกพี่ทั้งสองเตรียมตัวเอาไว้น่ะ” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากปลายสาย เขาเป็นน้องชายคนเล็กของหลินจื้อซือที่ชื่อว่าหลินเหล่ย ทั้งนี้ หลินเหล่ยเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องระหว่างเสี่ยวเฉิงและหลินจื้อซือว่าทั้งสองไม่ได้ลงหลักปักฐานและอาศัยอยู่ด้วยกัน
เสี่ยวเฉิงเงียบไปชั่วครู่ “แล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงจะมาที่เมืองหวาเซี่ยด้วยล่ะ?”
“พี่ก็ลองถามตัวเองดูสิ พวกพี่สองคนคบกันมาตั้งสี่ปีแล้วนะ แต่ทำไมไม่มีข่าวเรื่องพี่สาวของผมตั้งท้องเลยล่ะ? นั่นแหละสาเหตุ! อีกอย่าง ทุกครั้งที่พี่สาวโทรคุยกับพ่อ เธอก็จะเอาแต่บอกว่าตัวเองงานยุ่งทั้งวัน พ่อก็เลยเริ่มเซงแล้วน่ะ ยังไงก็เถอะ เดี๋ยวผมเองก็จะโทรไปหาพี่หลินด้วยเหมือนกัน พวกพี่ทั้งสองคนควรเตรียมตัวให้พร้อมนะ ผมห้ามพ่อกับแม่แล้ว แต่มันไม่ได้ผล ตอนนี้พวกเขาก็จองตั๋วเครื่องบินไปเรียบร้อยแล้วด้วย!”
หลังจากสายถูกตัดไป สมองของเสี่ยวเฉิงก็พลันยุ่งเหยิงจนไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
อันที่จริง เสี่ยวเฉิงพลันรู้สึกดีและขอบคุณหลินกุ้ยเหรินกับครอบครัวมาโดยตลอด นับตั้งแต่พ่อของเสี่ยวเฉิงเสียชีวิต หลินกุ้ยเหรินก็พาเสี่ยวเฉิงมาอาศัยอยู่ที่อังกฤษด้วยพร้อมกับอุปการะและเลี้ยงดู หลินกุ้ยเหรินปฏิบัติตนราวกับเสี่ยวเฉิงเป็นลูกชายของตัวเอง และด้วยความที่ครอบครัวของหลินจื้อซือนั้นดีกับเสี่ยวเฉิงมากถึงมากที่สุด เขาจึงปฏิเสธข้อเสนอที่จะแต่งงานกับหลินจื้อซือไป เสี่ยวเฉิงพลันได้อะไรต่อมิอะไรจากคนในตระกูลหลินมามากพอแล้ว ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่ต้องการพรากอิสรภาพของหลินจื้อซือไปอีก
ในระหว่างที่เสี่ยวเฉิงกำลังครุ่นคิด หลินจื้อซือก็โทรเข้ามาอีกครั้ง
เสี่ยวเฉิงรู้ตัวดีว่าต้องคุยกับหลินจื้อซือเรื่องพ่อของเธอ ทว่า หลังจากรับโทรศัพท์ ทั้งคู่ก็พลันตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน “พ่อกับแม่กำลังจะมาในอีกสองวัน!”
ทันใดนั้น ทั้งคู่ก็เงียบไป
ไม่นานนัก หลินจื้อซือก็พลันถอนหายใจและกล่าวคำพูดออกมา “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นายต้องชนะให้ได้เลยนะ! ฉันจะนัดพ่อกับแม่ให้ไปที่ร้านอาหารก่อน รีบสู้ให้เสร็จ แล้วก็ตามมาให้เร็วที่สุดด้วยล่ะ”
เสี่ยวเฉิงพลันเงียบไปสักพักก่อนที่จะตอบกลับ “เข้าใจแล้ว ตามนั้นก็ได้…”
…
หมายเหตุ: หวาเซี่ยคือเมืองที่เสี่ยวเฉิงและหลินจื้อซือย้ายมาตั้งแต่แรก แต่ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน และเมืองหวาเซี่ยเองก็อยู่ติดกับเมืองซ่างเฉิงด้วย
ปล. ผมว่าเรื่องนี้มีแต่เหตุการณ์ให้ลุ้นได้ตลอดเลย… เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป รอติดตามกันนะครับ!