ตอนที่ 13: ผู้ถูกคุมขัง
ทว่า น้องชายผมบลอนด์ก็พลันสะบัดมือของพี่ชายออกและมองไปยังเสี่ยวเฉิง “พี่ไปก่อนเลย ผมอยากรู้ว่าตำรวจคนนั้นจะเอาชนะพวกวัยรุ่นนั่นได้ยังไง…”
ทว่า ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พี่ใหญ่หลินและพรรคพวกก็พลันหยุดชะงักไป พวกเขาเองก็สงสัยเช่นกันว่าสถานการณ์ของเสี่ยวเฉิงและคนกลุ่มนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงยังคงจับคอเสื้อของเด็กที่ถ่มน้ำลายอยู่ ในระหว่างนั้น ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็พลันตะโกนขึ้นมา “ปล่อยเพื่อนเราเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็กำมือแน่นกว่าเดิม
“บอกให้ปล่อยไง! แกหูหนวกหรือยังไงกัน?!” คนอื่นเริ่มโกรธและเดินล้อมเข้ามาใกล้ จากนั้นไม่นาน คนในกลุ่มก็ตะโกนอีกครั้ง “อยากจะลองดีใช่ไหม? แกยังเป็นเด็กใหม่เกิน เรามันคนละระดับกัน… กลับไปนั่งทำงานเป็นขี้ข้าของแกต่อไปเลยไป! หรือไม่ก็เอาเวลาว่างไปไล่จับโจร ไปช่วยชาวบ้านไล่จับไก่ที่ถูกขโมยไปก็ได้”
“เสี่ยวเฉิง… ปล่อยเด็กคนนี้ไปเถอะน่า เราออกไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า” ฉางเหรินพูดขึ้น
ทันใดนั้น ลูกเศรษฐีที่ถูกเสี่ยวเฉิงคว้าคอเสื้อไว้ก็เผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมา “คิดว่าปล่อยฉันแล้วทุกอย่างจะจบงั้นเหรอ?”
“เอ่อ… นายน้อยหยุน พอดีเขาเพิ่งจะมาทำงานวันนี้วันแรกน่ะ เลยไม่ค่อยรู้เรื่องกฎเท่าไหร่” ฉางเหรินพลันพูดขึ้น
ทันทีที่ได้ยิน เสี่ยวเฉิงก็กระแอมในลำคอ
“ฉันไม่จำเป็นต้องรู้ว่ากฎคืออะไร ถ้าพวกนายอยากจะทะเลาะกันต่อ ก็กลับบ้านไปเถอะ มารวมตัวกันเพื่อทำร้ายคนอื่นมันผิดกฎหมายนะ แต่ถ้าไม่ยอมทำตาม ฉันก็จะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง!”
นายน้อยหยุนพลันเช็ดเลือดที่มุมปากและหันหน้าไปพูดกับฉางเหริน “ถ้านายไม่อยากโดนดีไปด้วย ก็เดินออกไปเสียตอนนี้เลย แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ อย่าคิดที่จะพาเขากลับไปด้วยล่ะ ถ้าหายโกรธแล้ว ฉันอาจจะไปส่งนายตำรวจคนนี้ที่สถานีก็ได้ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เขาจะไม่โดนอะไรมากหรอก”
ทั้งฉางเหรินและเพื่อนร่วมงานคนอื่นต่างก็เผยหน้าซีดทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็ร้องขอความเมตตา “นายน้อยหยุน… ให้โอกาสตำรวจมือใหม่คนนี้หน่อยเถอะนะ เขาก็แค่ไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า”
ทว่า นายน้อยหยุนก็ชี้ไปที่เสี่ยวเฉิงพร้อมกล่าวคำพูดที่เต็มไปด้วยโทสะ “ดูสิ หมอนี่เป็นคนแรกเลยที่กล้าทำกับฉันแบบนี้ จะไปให้โอกาสมันได้ยังไงกัน? งั้นเอาแบบนี้ดีไหม… ถ้าหมอนี่ยอมคุกเข่าโค้งคำนับฉันจนหน้าผากแตะพื้น ฉันจะยอมปล่อยไปก็ได้”
“เอ่อ…” ฉางเหรินและเพื่อนคนร่วมงานคนอื่นพลันรู้ดีว่ามันต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ พวกเขาก็แทบไม่ได้เข้ามาใกล้เสี่ยวเฉิงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังพยายามโน้มน้าวให้เสี่ยวเฉิงรู้ว่าสิ่งที่ทำกับนายน้องหยุนนั้นเป็นการล้ำเส้น
ทว่า เสี่ยวเฉิงพลันกำมือแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำเตือน “ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฉันจะขอพูดแบบจริงจังอีกครั้งก็แล้วกันนะ ใครก็ตามที่อยากมีปัญหา ให้ยืนอยู่ที่เดิม ส่วนใครที่ไม่อยากมี ก็กลับบ้านไปได้เลย แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน”
“โห ดูมันพูดเข้าสิ แกอยากจะลองดีกับพวกเรา? หรือแกอยากจะยิงปืนขึ้นฟ้าอีกครั้งล่ะ?” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ยังไงก็เถอะ รีบปล่อยตัวนายน้อยหยุนเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“พวกนายอยากจะเข้ามาขัดขวางการทำงานของตำรวจมากนักใช่ไหม?” เสี่ยวเฉิงเผยดวงตาที่ดุดันพร้อมมองไปยังกลุ่มคนรอบกาย
“แล้วถ้าบอกว่าใช่ล่ะ?” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว
“ได้เลย” เสี่ยวเฉิงกล่าวด้วยเสียงทุ้ม “งั้นทุกคนที่เกี่ยวข้องในคืนนี้ก็ต้องมากับฉันให้หมด! ฉางเหริน! โทรไปที่สถานีแล้วบอกให้พวกเขาส่งรถขังผู้ต้องหามาได้เลย”
ฉางเหรินเผยสีหน้าสุดจริงจังใส่ลู่โจว “หยุดทำแบบนี้ได้แล้วน่า ปล่อยไปเถอะ เลิกยั่วโมโหคนพวกนี้ได้แล้ว”
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงพลันหยิบปืนออกมาพร้อมโยนไปให้ฉางเหริน “ถือเอาไว้หน่อย”
จากนั้น เสี่ยวเฉิงก็ผลักนายน้อยหยุนออกไปพร้อมตะโกนใส่กลุ่มคนข้างกาย “เข้ามาเลย! ไอ้พวกเด็กขี้แยที่เอาแต่เล่นสนุก ไอ้พวกทำทีเป็นอวดเก่งเพราะมีพ่อแม่คอยหนุนหลัง เป็นพวกขาดความอบอุ่นหรือยังไงกัน?! เอาเลยสิ ฉันจะจับทุกคนยังอยากทะเลาะอยู่เข้าคุกเข้าตารางให้หมด!”
ทว่า ในตอนนั้นเอง คำพูดของเสี่ยวเฉิงก็ได้ไปจุดประกายความเดือดดาลในใจของเหล่าวันรุ่นกลุ่มนั้นขึ้น วัยรุ่นพวกนี้เกลียดการถูกกล่าวหาว่าพวกเขาได้ดีก็เพียงเพราะมีบารมีของพ่อแม่คอยคุ้มหัว และด้วยเหตุนี้ ทันทีที่อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันทีอย่างไม่น่าเชื่อ
ทันใดนั้นเอง วัยรุ่นทั้งสิบเอ็ดคนก็พุ่งเข้าใส่เสี่ยวเฉิงอย่างไม่ยั้งคิด!