ตอนที่ 14: การเลี้ยงดู
นายน้อยหยุนพลันสบถคำหยาบคายใส่เสี่ยวเฉิงตลอดทาง ทว่า ระหว่างที่เขามองดูกลุ่มเพื่อนของตนที่ถูกพาตัวมาเข้าในห้องขัง ความรู้สึกบางอย่างที่แปลกประหลาดก็พลันผุดขึ้นมาจากส่วนลึกของหัวใจ นายน้อยหยุนมองไปยังเสี่ยวเฉิงราวกับเขาเป็นคนเสียสติ
ทั้งนี้ ภายในห้องขัง กลุ่มวัยรุ่นประมาณหนึ่งโหลอีกกลุ่มก็ถูกคุมตัวมาจากคลับเดียวกัน ในตอนนั้นเอง ใครคนหนึ่งก็ตะโกนใส่เสี่ยวเฉิงอย่างดุเดือด “ไอ้ตำรวจสารเลว! ชีวิตแกจบแน่!”
ทว่า เสี่ยวเฉิงที่กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนรายงานสำหรับคืนนี้พลันรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจ
นั่นเป็นเพราะพวกลูกเศรษฐีกลุ่มนี้เคยประสบกับเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก ทุกคนไม่เคยโดนจับเข้าคุกมาก่อน พวกเขาไม่เพียงแต่ถูกเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนสั่งสอนและทำร้ายเท่านั้น แต่ตอนนี้ พวกเขาทุกคนก็ได้ถูกนำตัวมาขังรวมอยู่ด้วยกันในห้องขังที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ไปกว่าห้องน้ำที่บ้านเลย พวกเหล่าวัยรุ่นหลายสิบคนมารวมตัวกันอยู่ในที่เดียว คงไม่มีอะไรจะทำให้พวกเขาโกรธไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ทว่า ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ที่รูจมูกของนายน้อยหยุน เขากล่าวคำพูดกับเสี่ยวเฉิงอย่างไม่พอใจพร้อมด้วยมือทั้งสองข้างที่จับกรงเหล็กอยู่ “แกรู้ไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?”
เสี่ยวเฉิงเองก็ยังคงเขียนรายงานของคืนนี้ต่อไป ไม่นาน เขาก็พลันตอบกลับ “ฉันควรเป็นคนถามคำถามนั้นมากกว่านะ พวกนายนั้นแหละ คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่กัน? พวกนายทำผิดกฎหมาย!”ทันใดนั้น นายน้อยหยุนก็พูดแทรกขึ้นมา “ฉันต้องการเจอกับหัวหน้าของนาย!”
“โทษที นี่มันดึกแล้ว ทุกคนเลิกงานแล้วก็กลับบ้านกันไปหมดแล้วแหละ” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ
“แล้วทำไมแกต้องมายึดโทรศัพท์เราไปด้วยล่ะ?” ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “แกกล้าขนาดที่จับพวกเราทุกคนมาขังรวมกัน ยังกลัวว่าเราจะโทรไปหาพรรคพวกมาจัดการแกหรือยังไงกัน?”
“ทุกคนทำตัวให้เหมือนกับถูกจับหน่อยสิ ไม่ใช่เอาแต่คิดถึงเรื่องอยากออกไปสังสรรค์หรือเล่นโทรศัพท์มือถือ ทันทีที่พวกนายถูกปล่อยตัว ทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดก็จะถูกส่งคืนให้เอง” ทันทีที่เสี่ยวเฉิงพูดจบ เขาก็พลันสวมหมวกและยืดเส้นยืดสาย เสี่ยวเฉิงต้องกลับออกไปลาดตระเวนอีกครั้ง แถมยังปล่อยให้พวกลูกเศรษฐีเผยโทสะอยู่ในกรงขัง
เสี่ยวเฉิงออกลาดตระเวนอีกครั้งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ฉางเหรินและเพื่อนร่วมงานคนอื่นดูเหมือนจะไม่มีอารมณ์อยากลาดตระเวนอีกต่อไปแล้ว ทันทีที่กลับมาตรวจดูสภาพของพวกลูกเศรษฐีในห้องขัง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเสี่ยวเฉิงเองก็หยิบกุญแจและจากไปแล้ว
“ความอดทนฉันมีจำกัดนะ ปล่อยพวกเราไปเดี๋ยวนี้เลย!” นายน้อยหยุนพลันจ้องมองไปยังฉางเหรินและเพื่อนร่วมงานคนอื่นข้างกายด้วยสายตาที่ไม่พอใจ
ฉางเหรินเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ในระหว่างนั้น เพื่อนร่วมงานคนอื่นก็กำลังโทรหาหัวหน้า ทว่า ฉางเหรินก็รีบหยุดพวกเขาเอาไว้ “พวกนายจะโทรหาหัวหน้าไปทำไมกัน?”
“ถ้าเราทำให้พ่อแม่ของเด็กพวกนี้ไม่พอใจ ทุกอย่างต้องจบไม่สวยแน่เลย”
ไม่ช้า ฉางเหรินก็ตอบกลับ “ก็แค่แสร้งทำเป็นเหมือนพวกเราไม่รู้เรื่องไปสิ”
ดวงตาของเพื่อนร่วมงานคนพลันเบิกกว้าง “ว่ายังไงนะ? แต่พวกเขามีกันเยอะมากเลย…”
“แล้วไงล่ะ?” ฉางเหรินตอบกลับ “เสี่ยวเฉิงได้ทำในสิ่งที่ฉันอยากทำมานานแล้ว หรือพวกนายชอบให้เด็กขี้แยพวกนี้ข่มขู่แล้วก็รังแกตำรวจกัน?”
เพื่อนร่วมงานทั้งสามพลันลังเล จากนั้น ทุกคนก็พยักหน้าและสบตากัน
“รุ่นพี่ฉาง แต่นี่ไม่ใช่วิธีการในแบบของพวกเรานะ” เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งมองมา ดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหาเล็กน้อยในการทำความเข้าใจกับการตัดสินใจของฉางเหริน
แม้แต่ฉางเหรินเองก็ยังเผยยิ้มให้กับการตัดสินใจของตน “เมืองนี้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และเป็นเพราะธุรกิจที่ทำให้ทั้งเมืองรุ่งโรจน์มาจนถึงทุกวันนี้ได้ เด็กพวกนี้สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างดีก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของใครก็ได้ เลิกคิดถึงเรื่องนี้ไปเถอะ เรายังสามารถใช้โอกาสตรงนี้ในการแสดงให้เด็กวัยรุ่นพวกนั้นเห็นว่าเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน”
เพื่อนร่วมงานอีกสามคนพลันกัดฟันและพยักหน้า พวกเขาตัดสินใจว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว ความจริงก็จะถูกเปิดเผยออกมาเอง
ในวันรุ่งขึ้น หัวหน้าตำรวจก็พลันได้รับโทรศัพท์ร้องเรียนจากพ่อแม่ของเหล่าวัยรุ่นกว่าสิบสาย ในตอนเช้าตรู่ ทันทีที่หัวหน้าเปิดโทรศัพท์ เขาก็พลันตกใจกับสายที่ตนไม่ได้รับ เขารีบขับรถมายังสถานีตำรวจทันที ในตอนนั้นเอง หัวหน้าก็พลันมองไปยังใบหน้าของวัยรุ่นราวสิบกว่าคนที่อยู่ในห้องขัง
“เกิดอะไรขึ้นกัน?” หัวหน้ารีบถามเจ้าหน้าที่ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่