ตอนที่ 20: สี่จตุรเทพแห่งเมืองซ่างเฉิง
ทว่า ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็เดินลงบันไดไปโดยปราศจากความกลัว เขาถึงกับโบกมือให้พวกนักเลงทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ข้างบันไดด้วยซ้ำ
ไม่ช้า พวกนักเลงที่รออยู่ข้างลิฟต์และข้างบันไดทั้งเก้าคนก็วิ่งตรงเข้ามาล้อมเสี่ยวเฉิงเอาไว้ แต่ทว่า เสี่ยวเฉิงเองก็พลันเห็นอีกฝ่ายก่อนแล้ว แผนการ “คลุมหัวรุมกระทืบ” จึงไม่ได้ผล อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกนอกจากจะเข้าไป “พูดด้วยความเป็นมิตร” แทน
หัวโจกของแก๊งอันธพาลเป็นชายอวบอ้วนที่ชื่อว่าโบ่ว ชื่อนี้แปลว่าเสือดาว เขากำลังเคี้ยวหมากฝรั่งและเผยยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าหน้าที่เสี่ยวเฉิงใช่ไหม?”
เสี่ยวเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นและไม่ได้ไม่ตอบอะไรกลับไป
ในตอนนั้น โบ่วพลันเหลือบมองไปยังตราตำรวจที่หน้าอกของเสี่ยวเฉิงและรู้ได้ทันทีว่าเขาอยู่ในระดับไหน ทันใดนั้น โบ่วก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูถูก “ฉันคิดว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงเป็นคนจับพวกนายน้อยหยุนเข้าคุกเสียอีก แต่กลับเป็นเจ้าหน้าที่ยศต่ำต้อยแบบนี้เองหรอกรึ?”
หลังจากนั้นไม่นาน โบ่วก็พ่นหมากฝรั่งลงพื้นพร้อมเผยสีหน้าข่มขู่ เขาเดินเข้ามาใกล้เสี่ยวเฉิงและกล่าวคำพูด “ถ้าคุณยังอยากมีชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในซ่างเฉิง ก็ช่วยปล่อยพวกนายน้อยหยุนออกมาด้วย”
ทว่า เสี่ยวเฉิงพลันถามกลับอย่างเฉยเมย “นายเป็นใครกัน?”
“ดูเหมือนว่าคุณจะจำผมไม่ได้สินะ” โบ่วกล่าวพร้อมเผยเสียงหัวเราะ “ไม่งั้นคงไม่เผยท่าทีที่ใจเย็นแบบนี้… ยังไงก็เถอะ รู้จักแก๊งสี่จตุรเทพแห่งซ่างเฉิงไหมล่ะ?”
“อ่า” เสี่ยวเฉิงยังคงตอบอย่างไม่แยแสอะไร “ก็เคยได้ยินตอนที่ยังเรียนอยู่มัธยมปลาย ทั้งแก๊งมีแต่พวกเลวระยำทั้งนั้น…”
สีหน้าของโบ่วและลูกน้องคนอื่นพลันเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทว่า เขาก็ยังคงเผยเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า! งั้นถ้าคุณคิดว่าเราเป็นพวกเลวระยำ ก็คงต้องรู้ด้วยสินะว่าอย่ามายั่วโมโห ไม่อย่างนั้นคุณก็คงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแน่ รู้ใช่ไหม? ตอนนี้คุณอยู่ในเครื่องแบบก็จริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะแต่งตัวแบบนี้ทุกวัน แถมใครจะไปรู้ล่ะว่าคุณจะโดนไล่ออกเมื่อไหร่?”
“กำลังขู่ฉันอยู่เหรอ?” เสี่ยวเฉิงพลันหรี่ตา
“ผมจะกล้าไปขู่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้แสนดีได้ยังไงกันล่ะ?” โบ่วเผยยิ้ม “ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะบอกกับเจ้าหน้าที่เสี่ยวเฉิงเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเดินหรือขับรถไปไหน ก็ระวังตัวให้ดีหน่อยแล้วกันนะ ยิ่งรู้มาด้วยว่าคุณชอบขี่มอเตอร์ไซค์ อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเสียด้วยสิ คิดว่างั้นไหมล่ะ?”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง” เสี่ยวเฉิงจ้องมองไปยังอันธพาลตรงหน้า “แล้วนายชื่ออะไรกัน?”
โบ่วจ้องไปยังนัยน์ตาของเสี่ยวเฉิงพร้อมคิดว่าตัวเองกำลังถูกยั่วโมโหจากการถูกถามชื่อซ้ำครั้งที่สอง
เขาพลันตอบกลับซ้ำทีละพยางค์ “โ-บ่-ว!”
“หมายถึงชื่อจริง” เสี่ยวเฉิงพลันพูดขึ้น
ทันใดนั้น ดวงตาของโบ่วก็เผยแววอันตรายขึ้นมา “คุณอยากจะรู้ไปทำไมกัน?”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ “แค่อยากจะเตือนเอาไว้หน่อยว่าอย่ามาขวางทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็แค่นั้น แล้วเรียกตัวเองว่าโบ่ว… โบ่วที่แปลว่าเสือดาวงั้นสิ? คงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นจะเหมือนกับสัตว์หรอกใช่ไหม? อีกอย่าง ถ้าไม่มีชื่อจริงที่ถูกขึ้นทะเบียนกับรัฐบาลเอาไว้ ฉันจะช่วยลบชื่อนายออกไปจากรายชื่ออาชญากรในกรมตำรวจได้ยังไงล่ะ?”
“นี่กำลังขู่กันอยู่งั้นเหรอ?” สีหน้าของโบ่วเปลี่ยนไปทันที เขาพลันกดเสียงให้ต่ำลงและเดินเข้าไปใกล้เสี่ยวเฉิงมากขึ้น ใกล้เสียจนใบหน้าของทั้งสองจะสัมผัสกันอยู่แล้ว ทันใดนั้น เขาก็พลันกล่าวคำพูดออกมา “ใช่! พวกเรากลัวตำรวจก็จริง แต่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชนชั้นกระจอกที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้!”
เสี่ยวเฉิงพลันถามกลับทันที “แล้วพวกนายทำงานให้ใครกันล่ะ? ฉันบังเอิญจำได้ว่าหัวหน้าของแก๊งสี่จตุรเทพไม่ใช่คนเดิมแล้ว แล้วตอนนี้ก็ไม่รู้เลยด้วยว่าใครกำลังรับผิดชอบเรื่องค้าขายในตลาดมืดอยู่ ฉันก็แค่อยากรู้ว่าหัวหน้าของไอ้แก๊งบัดซบนั้นเป็นใคร…”
“อย่ามาสืบหาข้อมูลเสียให้ยากเลยคุณตำรวจ” โบ่วกล่าว “แต่ถ้าคุณว่างมากนัก ก็ลองไปที่ตลาดมืดช่วงเที่ยงคืนดูสิ พูดจริงนะ พวกเราจะทำการต้อนรับเป็นอย่างดีเลย แต่อย่างว่าแหละ… คุณก็คงจะกลัวจนหัวหด ลาก่อนเจ้าหน้าที่เสี่ยวเฉิง หวังว่าจะเก็บเอาคำพูดของผมไปพิจารณาแล้วก็ปล่อยตัวนายน้อยหยุนออกมานะ เพราะถ้าไม่ พวกเราก็จะกลับมาอีก แค่หาตัวคุณมันไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย…”