จากนั้น เขาก็โบกมือลาและเดินจากไปพร้อมกับแก๊งของตัวเอง
ทันใดนั้นเอง หรานจิงก็เดินออกมาจากลิฟต์และถามเสี่ยวเฉิงอย่างรนราน “หมอนั่นทำงานให้กับแก๊งสี่จตุรเทพเชียวนะ นายไปยั่วโมโหคนพวกนั้นทำไมกัน?”
“พวกนั่นมาหาฉันเองต่างหาก” เสี่ยวเฉิงพลันสวมหมวกและเดินจากไป แต่ทันใดนั้น หรานจิงก็วิ่งตาม “ทีหลังก็อย่าไปยั่วโมโหไอ้คนพวกนั้นอีกล่ะ” หรานจิงกล่าวเตือน
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเกินขอบเขต แล้วก็ไม่ได้สนใจอันธพาลพวกนั้นสักหน่อย ก็รู้อยู่หรอกว่าโลกนี้มันไม่มีความยุติธรรม แต่ในถิ่นฉัน ใครก็ตามที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจะต้องถูกลงโทษ” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ
“แต่แก๊งสี่จตุรเทพแห่งซ่างเฉิงไม่ใช่กลุ่มคนที่นายควรจะเข้าไปยุ่งด้วยเลยนะ คนพวกนั้นมีประวัติที่น่ากลัวมาตั้งแต่ครั้งอดีต อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจมาก ขนาดพวกคนใหญ่คนโตในรัฐบาลยังกลัวเลย นับประสาอะไรกับตำรวจอย่างเรา… ถึงธุรกิจที่พวกนั้นกำลังบริหารจัดการอยู่จะไม่มืดมนเหมือนแต่ก่อน แต่ไม่ว่ายังไง นายก็เสียเปรียบอยู่ดี”
“เดี๋ยวได้รู้กันแน่” เสี่ยวเฉิงเริ่มเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม
หรานจิงพลันกัดฟันและบ่นต่อ “เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกำจัดคนพวกเขา มีหลายคนในกลุ่มนั้นที่รู้เรื่องกฎหมายแล้วก็ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ ตอนแรกกรมตำรวจอาชญากรรมของเราเองก็จับตาดูพวกเขาอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้พวกเรารู้แล้วว่ายิ่งเข้าไปยุ่งกับคนพวกนั้นมากเท่าไหร่ ความโกลาหลในเมืองซ่างเฉิงก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เพราะแบบนั้นแหละ เราถึงเลือกที่จะไม่เข้าไปพัวพันหรือยุ่งด้วย สิ่งที่ฉันอยากจะบอกนายก็คืออยู่ให้ห่างจากคนของแก๊งสี่จตุรเทพเถอะ!”
ทว่า เสี่ยวเฉิงก็รีบเดินไปขึ้นมอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะไปทำงานกะกลางคืน
เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนกะ นายน้อยหยุนและพรรคพวกที่อยู่ในคุกก็จ้องมองมายังเสี่ยวเฉิงราวกับเป็นฝูงหมาป่าหิวโหยที่กำลังมองไปยังแกะอ้วน ทันใดนั้น นายน้อยหยุนก็เผยเสียงหัวเราะออกมา “แกคงยังไม่รู้สินะว่ากำลังจะมีผลอะไรตามมา?”
“ถึงมี ก็ไม่เป็นไร ในฐานะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถึงแม้ปัญหาจะไม่มาหาเรา แต่เราก็ต้องคอยมองหาปัญหาอยู่เสมอ ไม่งั้นชีวิตก็คงน่าเบื่อแย่…”
เสี่ยวเฉิงพลันเผยเสียงหัวเราะ ทว่า นายน้อยหยุนเองก็รู้ดีว่าเสี่ยวเฉิงต้องการจะสื่อถึงอะไร มันไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่จากรุ่นพี่โบ่วเลย ดูเหมือนว่าเสี่ยงเฉิงกำลังหาเบาะแสของแก๊งสี่จตุรเทพแห่งซ่างเฉิงแล้วก็การค้าอาวุธในตลาดมืดอยู่ ถ้าทุกอย่างจัดการในช่วงกลางวันไม่ได้ กลางคืนก็คงจะเหมาะที่สุด
“ดูเหมือนแกจะไม่รู้สึกกลัวอะไรเลยสินะ” นายน้อยหยุนพลันเยาะเย้ย “อีกอย่าง ข้างนอกนั่นยังมีพวกกลุ่มอันธพาลอีกตั้งเยอะแยะ ทำไมไม่ไปจับไอ้พวกนั้นบ้างล่ะ? แล้วก็พวกสี่จตุรเทพแห่งซ่างเซิง… ทำไมแกไม่ไปจัดการหน่อยล่ะ?”
“สี่จตุรเทพบ้าบออะไรกัน… ในสายตาเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างฉัน พวกที่ทำผิดกฎหมายก็ล้วนเป็นอาชญากรเหมือนกันหมดนั้นแหละ” เสี่ยวเฉิงที่กำลังขัดด้ามปืนพลันพูดขึ้น “แทนที่จะรอให้ครบสิบห้าวัน พวกนายก็เขียนคำสารภาพผิดไปก่อนเลยสิ ไม่แน่อาจจะโชคดีได้ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนก็ได้นะ”
ทันใดนั้น นายน้อยหยุนก็ตะโกนขึ้นมา “พวกเราขออยู่ในนี้ให้ครบสิบห้าวันดีกว่า! รอดูได้เลยว่าฉันจะให้อภัยแกได้ไหมถ้าถูกปล่อยตัวออกไป… แต่สงสัยว่าคงจะไม่มีวันนั้นหรอก! แต่แล้วไงล่ะ? ใครสนกัน?”
“อ่า อยากทำอะไรก็เชิญเลย ตอนนี้ฉันเองก็ยังเป็นเด็กใหม่อยู่ แถมที่นี่ก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำด้วย โคตรน่าเบื่อเลย! ไว้พวกนายออกมาได้เมื่อไหร่ เรามาหาอะไรสนุกทำกันหน่อยดีไหม?”
นายน้อยหยุนพลันหรี่ตาลง “ฉันจะทำให้แกรู้สึกสนุกจนลืมไม่ลงเลยล่ะ!”
“อ่า ก็ขอให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ
จากนั้น เสี่ยวเฉิงก็เดินไปหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซค์และจากไป
เหมือนอย่างปกติ เสี่ยวเฉิงต้องไปลาดตระเวนและตรวจตราอยู่แถวมหาวิทยาลัยจนกว่าเหล่านักเรียนและนักศึกษาจะออกมาจนหมด แต่ในตอนนั้นเอง หนุ่มวัยรุ่นผมบลอนด์จากตระกูลหลินเหมือนไม่ได้คาดหวังเอาไว้ว่าจะได้พบกับเสี่ยวเฉิง เขารีบเดินตรงมาและยื่นบุหรี่ให้ และเสี่ยวเฉิงเองก็รับบุหรี่ขึ้นมาพร้อมกับจุดไฟ
“ดูเหมือนว่าฉันจะชนะพนันกับพี่หลินแล้วสินะ” วัยรุ่นผมบลอนด์กล่าวคำพูดขึ้นอย่างดีใจ
เสี่ยวเฉิงพลันพ่นควันบุหรี่ออกมาและถามกลับ “พนันอะไรกัน?”
“พี่หลินบอกว่านายอาจจะโดนพวกนั้นเล่นงาน… ฉันก็เลยคิดว่าคืนนี้คงจะไม่ได้เจอนายอีกแล้ว แต่ไหน! ขอมองหน้าให้ชัดกว่านี้หน่อย! หวังว่านายคงจะไม่ใช่ผีหรอกนะ…“