ตอนที่ 25: ผู้สื่อข่าวที่โผล่มาอย่างกระทันหัน
ณ ตอนเที่ยง
ตอนนี้หรานจิงกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ส่วนหลินจื้อซือและเซินเหยาก็ยังคงคุยเล่นกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
“เซินเหยา! เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้วนะ! เธออยู่ที่นี่มาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว ทำไมไม่คิดจะบอกฉันหน่อยล่ะ?” หลินจื้อซือพลันบ่นกับเซินเหยาทันทีที่พวกเธออยู่กันสองคน
เซินเหยาพลันตอบกลับราวกับเธอรู้สึกผิด “ไม่เอาน่า ฉันเองก็อยากจะบอกเธอเหมือนกันนั้นแหละ แต่ดูเธอตอนนี้สิ… ดังใหญ่แล้ว! แถมทั่วทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยโปสเตอร์รูปหน้าเธอเต็มไปหมด ไม่ว่าเธอจะเดินไปไหน ก็มีแต่คนรักคนหลง อีกอย่าง ถ้าฉันอยู่กับเธอ คงอกแตกตายแน่! เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนยังฝังใจไม่หายเลย ยังไงก็เถอะ ฉันก็บอกเรื่องนี้กับทุกคน เหลือแค่เธอนี่แหละ แถมยังไม่ได้บอกเธอเลยด้วยว่าฉันมีได้หยุดพักร้อนตั้งหนึ่งเดือนแหนะ”
หลินจื้อซือพลันทัดผม เธอเอื้อมมือไปหยิบมีดหั่นผลไม้ขึ้นมาและกล่าวคำพูดระหว่างหั่นแอปเปิ้ล “เธอก็รู้ว่าครั้งที่แล้วมันก็เป็นอุบัติเหตุ ใครจะไปรู้ล่ะว่าแฟนคลับคนนั้นจะตาดีขนาดจำฉันได้…”
“วันนั้นถือเป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันต้องหนีพวกแฟนคลับเธอไปหลบในห้องน้ำชายน่ะ! ถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า ชื่อเสียงของฉันเองก็ต้องป่นปี้แน่” เซินเหยาพลันมองไปยังหลินจื้อซือ “เอ้ะ! แต่เดี๋ยวก่อนนะ แล้วตอนแรกเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่มาตั้งอาทิตย์หนึ่งแล้ว?”
“ก็ทุกครั้งที่เธอต้องบินไปต่างประเทศ เธอก็จะเอาแต่โพสต์รูปลงทวิตเตอร์อยุ่ตลอดเวลา ใครบ้างจะไม่รู้ล่ะ? แต่พอเห็นว่าเธอไม่ได้โพสต์อะไรเลยมาสองสามวัน ฉันก็เลยคิดว่าเธอต้องไม่ได้ไปทำงานแล้วแน่” หลินจื้อซือกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วก็อีกอย่าง เธอยังกล้ามาหาฉันทั้งที่ไม่มีผู้จัดการหรือบอดี้การ์ดตามมาด้วยเนี่ยนะ? แล้วสมมุติถ้าออกไปข้างนอกแล้วแฟนคลับจำเธอได้ล่ะ? ฉันว่าเธอได้โดนรุมจนขาดอากาศหายใจแน่ แค่นึกถึงภาพกลุ่มแฟนคลับวันนั้น… ก็ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว” เซินเหยาตอบกลับ
หลินจื้อซือพลันกัดแอปเปิ้ลและกล่าวคำพูดราวกับไม่ต้องการให้เซินเหยากังวล “ถ้าฉันให้พวกบอดี้การ์ดตามมาด้วย คิดว่าฉันจะออกมาหาเธอแบบนี้ได้ไหมล่ะ? ทั้งแสดงละครเอย ทั้งถ่ายแบบเอย ฉันเองก็มีงานเข้ามาแทบจะทุกวัน แค่นี้ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
ทว่า เซินเหยาพลันถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย “งั้นเธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
“ก็แค่หลอกพวกบอดี้การ์ดว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ปิดโทรศัพท์ไปเลย จากนั้นก็… นี่ไง! ฉันก็มานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว!” หลินจื้อซือพลันเผยยิ้ม ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำแบบนี้
เซินเหยาพลันหัวเราะออกมา “ฉันคิดว่าตอนนี้ทั้งผู้จัดการแล้วก็พวกบอดี้การ์ดน่าจะตามหาตัวเธอกันจ้าละหวั่นเลยล่ะ”
ทว่า หลังจากนั้นไม่นาน เสี่ยวเฉิงพลันลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปยังระเบียงเพื่อแขวนเสื้อผ้าที่เพิ่งจะซักเสร็จเมื่อครู่ ไม่นานนัก เสี่ยวเฉิงก็พลันเหลือบไปเห็นหลินจื้อซือที่สวมชุดลูกไม้กำลังยืนอยู่ข้างหลัง
ทันทีที่เสี่ยวเฉิงแขวนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็มองออกไปนอกหน้าต่างและไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา
ในตอนนั้นเอง หลินจื้อซือพลันเดินตรงมาและวางมือไว้บนขอบหน้าต่างพร้อมมองออกไปด้านนอก “อย่าเข้าใจผิดล่ะ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายอาศัยอยู่ที่นี่ ทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องบังเอิญไปหมด หลังจากกลับมาที่นี่ ฉันเองก็มีเพื่อนสนิทคบอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือเซินเหยานี่แหละ”
เสี่ยวเฉิงพลันพยักหน้า “แล้วก็เรื่องหรานจิงบอกน่ะ ฉันล้อเล่นนะ อีกอย่าง เรื่องระหว่างเราก็คงจะไม่มีใครเชื่อหรอก ไม่ต้องห่วงเลย ไม่มีใครรู้แน่ว่าเธอแต่งงานแล้ว”
หลินจื้อซือพลันหยักหน้าและมองไปยังท้องฟ้า จากนั้นไม่นาน เธอก็หันกลับมามองเสี่ยวเฉิงและเริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย “แล้วชีวิตตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ? มีความสุขกับงานที่กำลังทำอยู่ไหม?”
“มันก็มีความสุขดีอยู่หรอก แค่ยังไม่คุ้นชินกับชีวิตที่นี่เท่าไหร่ หลังจากอยู่ในกองทัพมาตั้งหลายปี ฉันไม่เคยคิดเลยว่าโลกข้างนอกจะเปลี่ยนไปมากขนาดนี้” เสี่ยวเฉิงหันกลับมาและเผยยิ้ม “แล้วดูเธอสิ… ดังใหญ่แล้ว! ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนมาไหน ก็มีแต่คนรักคนหลงกันทั้งนั้น ต่างกับฉัน…”
“แล้วนายยังคิดจะทำตามเป้าหมายเดิมอยู่ไหม?” หลินจื้อซือมองไปยังเสี่ยวเฉิงและถามขึ้น
เสี่ยวเฉิงมองไปยังทองฟ้า หลังจากเงียบไปสักพัก เขาก็พลันกัดฟันและกล่าวคำพูดออกมา “ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ฉันเองก็จะต้องทวงความยุติธรรมของพ่อคืนมาให้ได้…“