ตอนที่ 28: พลังขั้นพื้นฐาน
– ฐานทดลองศูนย์วิจัยแห่งชาติ –
ด้านนอกห้องทดลอง ครูฝึกจากหน่วยรบมังกรพลันนั่งรออยู่บนเก้าอี้
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง นักวิจัยสามคนก็เดินออกมาพร้อมถอดหน้ากากออก
“โจ่ว… สำหรับเรื่องของเซรุ่มทางชีวภาพที่นายเอามาให้ดู เราได้ทำการตรวจดูอย่างละเอียดแล้วนะ อันที่จริง มันคือสารเคมีขั้นทดลองสำหรับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมของสัตว์” นักวิจัยคนหนึ่งพลันสรุปผลให้ครูฝึกจากหน่วยรบมังกรฟังด้วยความมั่นใจ
“พันธุกรรมสัตว์?” ครูฝึกโจ่วพลันตกใจไปชั่วครู่ “นี่นายกำลังจะบอกว่ามันเหมือนกับสารเคมีในภาพยนตร์ที่ถูกเอามาใช้ในการทดลองที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมของพวกสัตว์แปลกประหลาดอะไรทำนองนั้นใช่ไหม?”
เหล่านักวิจัยพลันพยักหน้า “ใช่ เราพบยีนของสัตว์หลายชนิดในเซรุ่มที่นายเอามาให้ ยังไงก็เถอะ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าเหล่านักวิจัยพันธุกรรมจากต่างประเทศพวกนี้มีฝีมือแล้วก็เก่งในด้านเทคโนโลยีไม่น้อยเลยล่ะ หรือไม่ก็บางทีพวกเขาอาจจะบรรลุเป้าหมายในการทดลองทางพันธุกรรมพวกนี้แล้วด้วยก็ได้ อีกอย่าง สำหรับตอนนี้ ยีนของสัตว์ที่เราสามารถยืนยันได้ว่ามีอยู่ในเซรุ่มนั่นก็คือค้างคาว มดตัดใบไม้แล้วก็เหยี่ยว ตอนนี้เราสามารถระบุได้เพียงแค่สามตัวนี้เท่านั้น”
ครูฝึกโจ่วพลันขมวดคิ้ว “แล้วนักวิทยาศาสตร์พวกนั้นพยายามที่จะทำบ้าอะไรกัน?”
เหล่านักวิจัยทั้งสามเผยยิ้ม “ยังมีนักชีววิทยาอีกหลายต่อหลายคนเลยที่คิดค้นไอเดียบ้าบอพวกนี้ขึ้นมา อีกอย่าง หลายประเทศเองก็กำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันอยู่ด้วย เพียงแต่มันยังไม่มีความก้าวหน้าแค่นั้นเอง… พวกเขาต้องการให้มนุษย์มีพละกำลังและความสามารถขั้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นโดยหลอมรวมดีเอ็นเอของมนุษย์และสัตว์เข้าด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีใครทำได้สำเร็จ พวกนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็มีความคิดที่แปลกประหลาดกันอยู่เสมอนั้นแหละ โดยปกติแล้ว ค้างคาวถือเป็นสัตว์ที่มีประสาทการได้ยินที่ดีที่สุดในธรรมชาติ นายเองก็คงจะเดาออกว่าพวกมันใช้คลื่นเสียงเป็นเหมือนตัวระบุสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า และถ้าความสามารถสุดพิเศษนี้สามารถผสมเข้าไปในดีเอ็นเอของมนุษย์ได้ มนุษย์อย่างเราก็จะสามารถได้ยินเสียงที่ดีขึ้นกว่าเดิมประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเท่าเลย! ยังไม่หมดแค่นั้นนะ ผลของการใช้คลื่นความถี่เสียงยังช่วยทำนายอันตรายล่วงหน้าแล้วก็ทำให้ร่างกายตอบสนองได้เร็วขึ้นอีกด้วย”
จากนั้น เหล่านักวิจัยก็ได้แสดงตัวอย่างข้อมูลของค้างคาวจำนวนมากให้กับครูฝึกโจ่วดู “อีกอย่าง เรายังตรวจสอบเรื่องการทดลองข้ามสายพันธุ์ของสัตว์เซลล์เดียวด้วย แต่น่าเสียดายที่หลายต่อหลายประเทศก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จในการทดลองอะไรทำนองนี้เช่นกัน นักวิทยาศาสตร์พวกนั้นก็คงจะสติแตกหรือไม่ก็ฝันกลางวันอยู่แน่ พวกเขาต้องการที่จะหลอมรวมยีนของสัตว์หลายชนิดให้เป็นหนึ่งเดียวกัน”
ระหว่างที่ทุกคนเดินคุยกันอยู่ ครูฝึกโจ่วก็พลันถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “แล้วไอ้ยีนของมดตัดใบไม้อะไรนั่นล่ะ? ความสามารถของมันเป็นแบบไหนกัน? มีข้อมูลอะไรอ้างอิงได้บ้างไหม?”
นักวิจัยเผยยิ้มและตอบกลับ “อย่าสบประมาทพวกมดตัวเล็กเชียวล่ะ พวกมันสามารถยกของที่หนักกว่าตัวเองได้ถึงห้าสิบเท่าเลยนะ ก่อนหน้านี้ นักสัตววิทยาได้ทำการวิจัยและหาข้อสรุปออกมาได้ว่าถ้าพวกมดมีขนาดเท่ากับมนุษย์ พวกมันจะสามารถครองโลกนี้ได้อย่างง่ายดายเลยล่ะ ลองคิดดูสิ ถ้าผู้ชายคนหนึ่งมีความสามารถเหมือนมด และเขาสามารถออกแรงได้มากพอที่จะยกสิ่งของที่หนักกว่าตัวเองถึงห้าสิบเท่าได้… มันคงน่ากลัวไม่น้อยเลยใช่ไหมล่ะ? แต่นั่นก็ถือเป็นจินตนาการที่น่าสนใจดี ยังไงก็เถอะ พวกมดนั้นตัวเล็กมาก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะศึกษาพวกมันโดยแยกยีนออกมาเพื่อผสมกันกับมนุษย์ มันยากกว่าสัตว์ทุกชนิดเลยด้วย”
ครูฝึกโจ่วพลันถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วเหยี่ยวล่ะ?”
นักวิจัยพลันตอบกลับ “ให้สามคำเลย ‘เร็ว-ฉิบ-หาย!‘ อันที่จริง สัตว์ที่รวดเร็วและว่องไวที่สุดในโลกนี้ไม่ใช่เสือดาวหรือสิงโต แต่มันคือเหยี่ยวต่างหากล่ะ พวกมันสามารถบินโฉบลงมาจากอากาศและจับเหยื่อบนพื้นได้โดยที่ศัตรูไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเหยี่ยวเป็นสัตว์ที่รวดเร็วขนาดไหน แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นคือระบบการมองเห็นที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกมัน พวกมันสามารถขยายภาพมองดูวัตถุที่อยู่ไกลได้ราวกับมีดวงตาเป็นแว่นขยายเลย หลักการเบื้องหลังก็ไม่ต่างอะไรกับกล้องดูดาวนั้นแหละ ต่างจากจอประสาทตาของมนุษย์ เหยี่ยวมีจุดศูนย์กลางของการมองเห็นอยู่สองจุด จุดแรกอยู่ตรงกลางและจุดที่สองอยู่ด้านข้าง จุดแรกนั้นมีไว้เพื่อค้นหาวัตถุอย่างรวดเร็วจากมุมมองด้านหน้า ในขณะที่อีกจุดนั้นมีไว้เพื่อปรับภาพของวัตถุให้คมชัดมากขึ้น มันเหมือนกับการมองเห็นทุกอย่างตรงหน้าเป็นภาพเดียวสุดคมชัดได้ด้วยสองตา และเพราะแบบนั้น เหยี่ยวจึงมีขอบเขตในการมองเห็นที่กว้างมากในคราวเดียว”