ตอนที่ 42: ให้ตายเถอะ!
ทันใดนั้น แฟนสาวที่มาด้วยก็พลันตะโกนโห่ร้องด้วยความชื่นชม
ชายหนุ่มที่เพิ่งจะเหวี่ยงหมัดออกไปเมื่อครู่พลันเผยท่าทีสุดหลงระเริงและสะใจ พลันเขาส่งยิ้มให้ครูฝึกสาวและไม่ได้พูดอะไรออกมา มีเพียงแววตาเท่านั้นเปร่งประกายและเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม
แต่ทว่า ใบหน้าสุดเย็นชาและแน่นิ่งของครูฝึกสาวก็ไม่ไหวติง
หลังจากนั้น ชายหนุ่มหัวโจกก็ถอยกลับไปสองสามก้าวและวิ่งเข้ามาเหวี่ยงหมัดไปที่เครื่องไดนาโมมิเตอร์อีกครั้ง
ทันทีที่เสียงจากเครื่องเงียบลง แรงที่วัดได้ก็พุ่งสูงไปถึง 299 กิโลกรัม แม้แต่ชายหนุ่มอีกสองคนที่อยู่ในกลุ่มด้วยกันก็ยังต้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อีกนิดเดียว… อีกนิดเดียวก็จะเกิน 300 แล้วพวก!”
ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มหัวโจกที่ชื่อว่านายน้อยโจวก็พลันรู้สึกเวทนาขึ้นมา ตัวเลขตรงหน้าก็คงจะเพียงพอแล้วที่จะทำให้ทหารทั้งสองนายรู้สึกอับอายและขายหน้า
หลังจากนั้น เขาก็มองไปยังครูฝึกสาวอีกครั้งพร้อมกับกล่าวคำพูด “น่าผิดหวังเหมือนกันนะครับที่ทหารจากกองทัพมีน้ำยาแค่นี้… คิดว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนอย่างพวกทหารนาวิกโยธินของสหรัฐที่ตัวสูงใหญ่แล้วก็มีกล้ามกำยำเสียอีก แถมพอได้มาเห็นอะไรแบบนี้แล้ว ผมก็รู้สึกผิดหวังแทนประเทศเหมือนกันนะครับ”
“พล่ามบ้าอะไรของแกอยู่นั่น?!” นายทหารทั้งสองพลันรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาทันที
นายน้อยโจวพลันหัวเราะและตอบกลับ “โมโหอะไรกัน? เอ๊ะ… หรือว่าเครื่องไดนาโมมิเตอร์กำลังรวนหรือมีปัญหากันนะ? หรือว่าฉันตาฝาดมองดูคะแนนของพวกนายสองคนไม่ชัด? เราสามคนใครได้คะแนนสูงที่สุดนะ? ไม่เอาน่า ฉันก็แค่มือสมัครเล่น จะไปแข็งแกร่งกว่าทหารสองนายที่ผ่านการฝึกสุดหฤโหดจากกองทัพมาได้ยังไงกันล่ะ? แล้วแขนที่ผอมแห้งเหมือนกับไม้จิ้มฟันพวกนั้นมาจากการฝึกเหมือนกันงั้นเหรอ?”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น นายทหารทั้งสองก็แทบจะพุ่งเข้าไปซัดหน้านายน้อยโจว แต่ทว่า ครูฝึกสาวก็พลันตะโกนขึ้นมาทันใด “พอได้แล้ว!”
ทั้งนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติที่ครูฝึกจะตะคอกและออกคำสั่ง แม้ว่าทั้งสองจะรู้สึกโกรธมากแค่ไหน พวกเขาก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของครูฝึกอยู่ดี
ในตอนนั้นเอง เสี่ยวเฉิงก็ค่อนข้างรู้สึกพอใจที่เห็นครูฝึกสาวทำเช่นนั้น
ทันใดนั้น ครูฝึกสาวก็พลันกล่าวคำพูดกับนายน้อยโจวด้วยท่าทีสุดเย็นชา “นายไม่ต้องมาเปรียบเทียบกับคนอื่นเพื่อให้ตัวเองรู้สึกเหนือกว่าหรอก ยังไงเสีย สองคนนี้ก็ยังเป็นทหารใหม่ที่ฉันกำลังฝึกให้อยู่ แถมคะแนนที่นายเห็นไปก็ไม่ใช่ศักยภาพสูงสุดของพวกเขาสักหน่อย”
นายน้อยโจวพลันหัวเราะ “ไม่ต้องห่วง ผมไม่บอกใครหรอกครับว่าทหารในกองทัพอ่อนแอขนาดนี้”
หลังจากนั้น แฟนสาวของนายน้อยโจวเองก็เผยเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “เพื่อนฉันเคยบอกว่าสักวันหนึ่งเธออยากแต่งงานกับทหารเพราะจะได้รู้สึกปลอดภัย แต่พอเห็นแบบนี้ วันนี้ฉันก็รู้แล้วแหละว่าไม่ใช่ทหารทุกคนที่จะสามารถปกป้องและทำให้คนอื่นรู้สึกปลอดภัยได้เลย… ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ทุกประโยคของอีกฝ่ายนั้นทำให้ทหารใหม่ทั้งสองนายรู้สึกเดือดดาลและโมโหไม่น้อย ทั้งนี้ เสี่ยวเฉิงเองก็เข้าใจถึงความรู้สึกเดือดดาลของทหารทั้งสองดีว่าพวกเขาต้องการที่จะระบายโทสะออกมามากขนาดไหน เพราะฉะนั้น ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะเริ่มใช้กำลัง เสี่ยวเฉิงก็พลันเดินตรงมาและพูดแทรกขึ้น “ถ้าพวกนายไม่ใช้เครื่องไดนาโมมิเตอร์แล้ว งั้นฉันขอลองสักหน่อยนะ”
ในตอนนั้นเอง ทั้งนายน้อยโจวและเพื่อนชายอีกสองคนพลันขมวดคิ้ว ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม อีกทั้ง สีหน้าของทั้งสามนั้นแปรเปลี่ยนไปราวกับกำลังคิดว่า “ไอ้บัดซบนี่มาจากไหนกัน?”
“เฮ้ย! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังใช้อยู่!” นายน้อยโจวพลันยืนแขนออกไปกันเสี่ยวเฉิง
หลังจากนั้น ชายอีกคนก็เหลือบมองไปยังเสี่ยวเฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกล่าวคำพูด “คนอย่างนายใช้เป็นด้วยงั้นรึ? กลับไปที่โรงยิมแล้วก็เริ่มต้นด้วยการยกดัมเบลล์ให้ขึ้นก่อนก็ได้มั้ง”
“พวกนายไม่ใช่เจ้าของสโมสรสักหน่อย…” เสี่ยวเฉิงพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย ทันทีที่เดินผ่านนายน้อยโจวไป เสี่ยวเฉิงก็พลันกระแทกเข้ากับไหล่ของชายอีกคนที่เข้ามาขว้างทางจนกระเด็นออกไปทันที
ทันใดนั้น นายน้อยโจวก็พลันหันหน้ากลับมาและเผยเสียงหัวเราะ “ถ้ารู้ดีว่าหมัดของตัวเองมีแรงไม่ถึง 180 กิโลกรัม ก็ลงมาจากเครื่องเถอะ อย่าทำให้ตัวเองขายหน้าไปมากกว่านี้เลยจะดีกว่า…”
ทว่า เสี่ยวเฉิงไม่ได้สนใจคำพูดของนายน้อยโจวเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้น เขาก็พลันยกหมัดขึ้นและก้มมอง… เมื่อไม่กี่วันก่อน แรงของเสี่ยวเฉิงก็ทำให้เซินเหยาลอยกระเด็นออกไปตั้งสามเมตร หากเทียบกับความสูงที่เซินเหยาลอยอยู่กลางอากาศและน้ำหนักประมาณ 47 กิโลกรัมของเธอแล้ว เสี่ยวเฉิงก็พอจะเดาได้ว่าตอนนั้นตัวเองน่าจะออกแรงไปสัก 150 กิโลกรัมแน่
ทันใดนั้นเอง เสี่ยวเฉิงพลันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมกับตัดสินใจที่จะทดสอบว่าพลังของหมัดของตนเองนั้นรุนแรงขนาดไหน