บทที่ 365
บทที่ 365
ด้วยเพราะเย่เหล่ยกำลังทำการรักษาบาดแผลของถังหยิน ทั้งสองจึงตัวใกล้ชิดกันมาก และเมื่อได้เห็นเย่เหล่ยห่างเพียงปลายนิ้วเท่านั้น ชายหนุ่มก็พลันสูดดมได้ถึงกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากร่างกายของหญิงสาว ทำให้ถังหยินใจล่องลอยไปชั่วขณะ
เมื่อเย่เหล่ยเห็นว่าถังหยินยื่นมือมาทางตน หญิงสาวก็ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด นางเพียงเพิ่มแรงกด ใช้เข็มโค้งแทงเข้าไปในเนื้อของชายหนุ่มอย่างแรง !
ถึงนางจะวางยาชาให้ถังหยิน แต่ปริมาณมันก็ไม่ได้มากเท่าใดนัก นอกจากนี้ฤทธิ์ของยาชาก็ยังมีจำกัด ทำให้มือที่ยื่นออกไปหยุดลงกลางอากาศ
ชายหนุ่มจ้องมองไปที่เย่เหล่ยด้วยเพราะแรงกดที่เพิ่มขึ้น ทำให้ได้พบเข้ากับใบหน้าเย็นชาของนางที่กำลังมองมา ส่งผลให้ใบหน้าของถังหยินแดงระเรื่อทันที เขาหัวเราะอย่างเขินอายจากนั้นก็หาข้ออ้าง “เสื้อผ้าที่เจ้าใส่วันนี้สวยมาก” …ในขณะที่พูด เขาก็รีบดึงมือที่ค้างอยู่ในอากาศออก
เย่เหล่ยเกือบจะหัวเราะออกมา เพราะการแต่งตัวของตนในวันนี้ไม่ต่างจากเมื่อวานเลย ก่อนที่นางจะพูดออกมาอย่างสบาย ๆ “ขอโทษที ข้าไม่ได้ระวัง เลยมือหนักไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” ถังหยินกลืนน้ำลายลงคอ หันศีรษะหนีและหลับตาลง ก่อนที่จะเผลอหลับไปในเวลาต่อมา…
ตามปกติถังหยินระมัดระวังอย่างยิ่ง เขาจะไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัวต่อหน้าคนนอกอย่างง่ายดาย ทว่าชายหนุ่มนั้นพอจะดูออกว่าเย่เหล่ยไม่ได้รังเกลียดอะไรตนเองมากมายนัก เขาเลยรู้สึกวางใจ จนเผลอหลับไปในท้ายที่สุด
ถังหยินนอนหลับสนิทและตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย ก่อนพบว่าเย่เหล่ยไม่อยู่แล้ว ส่วนบาดแผลบนร่างกายก็ได้ถูกเย็บ ใส่ยาและพันผ้าพันแผลเรียบร้อย ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้แต่งตัว และลุกเดินออกจากห้องไป
ตอนนี้จวนของถังหยินมีชีวิตชีวามากทีเดียว ด้วยมีผู้คนมากมายเดินเข้าออก และในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้คนในเมืองที่เข้ามาพบเสียส่วนใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นเพราะเช้าวันนี้ชิวเจิ้นได้ป่าวประกาศอ้างความชอบธรรม ปลอบขวัญมวลชน ประจานการก่ออาชญากรรมของซ่งเทียน และยกย่องถังหยิน พร้อมกับบอกว่าพวกกองทัพกบฏได้ถูกขับไล่ออกไปแล้ว ขอให้ประชาชนทั้งหลายอย่าได้ตื่นตระหนก
กองกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนไม่ได้ประจำการในเมือง แต่อยู่ในค่ายใหญ่ที่ตั้งอยู่นอกเมือง
นับตั้งแต่กองทัพเทียนหยวนเข้าสู่เมืองหยาน พวกเขาก็ไม่เคยเข้ามารบกวนผู้คนหรือปล้นทรัพย์สินของชาวบ้านเลย อีกทั้งเจ้าหน้าที่และทหารทุกคนต่างก็มีความประพฤติเรียบร้อย ทำให้เมืองหยานดูไม่ต่างจากปกติ ทั้งยังดูสงบยิ่งกว่าตอนที่ซ่งเทียนเรืองอำนาจเสียอีก ทำให้ชาวเมืองค่อย ๆ ไว้วางใจ จนคนเดินเท้าบนถนนเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน เมืองหยานก็พลันกลับมาคึกคักเหมือนเดิม ท้องถนนเต็มไปด้วยการจราจรที่คึกคักอีกครั้ง …อย่างไรก็ตามการพูดคุยของผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มุ่งเน้นไปที่กองทัพเทียนหยวน และเมื่อชาวเมืองเห็นทหารในชุดเกราะสีดำเดินลาดตระเวนผ่านไป พวกเขาก็พากันเคลื่อนตัวออกไปไกลโดยไม่รู้ตัว
ชิวเจิ้นพอใจกับผลลัพธ์นี้มากแล้ว ด้วยอย่างไรพวกชาวเมืองก็ยังไม่คุ้นเคยกับกองทัพของตนเอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะไม่ยอมรับ และหลังจากการประกาศนั่น ชิงเจิ้นก็ได้ร่างจดหมายส่งไปยังผู้ว่าทั้งหมดในทันที เพื่อเรียกให้พวกเขามายังเมืองหลวง
แน่นอนชิวเจิ้นเขียนจดหมายนี้ในนามของถังหยิน ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นก็ถือว่าค่อนข้างสุภาพในระดับหนึ่ง เนื่องด้วยแม้ว่าถังหยินจะมีอำนาจ แต่เขาก็เป็นเพียงผู้ว่ามณฑลเท่านั้น ไม่ได้มียศที่สูงกว่าผู้ว่าคนอื่น ๆ แต่อย่างใด
…เมื่อชิวเจิ้นอยู่ที่นี่ ถึงจะมีปัญหามากมายให้ถังหยินจัดการ แต่ตราบใดที่เรื่องเหล่านี้ถึงมือของเด็กหนุ่ม ทุกอย่างก็จะกลายเป็นง่ายดายยิ่ง
หลังจากกองทัพเทียนหยวนเข้ายึดเมืองหลวงได้สำเร็จ ความทะเยอทะยานของพวกเขาก็ทวีคูณขึ้น ในขณะที่พักผ่อนและจัดระเบียบตัวเอง พวกเขาก็ยังคงขยายกองกำลังและฝึกฝนอย่างแข็งขัน ทั้งยังสั่งให้จีหยิงฝึกกองทัพอินทรีสวรรค์ของเขาให้กลายเป็นกองกำลังชั้นยอดในเวลาอันสั้นที่สุด และหากมีทหารคนใดที่ต้องการจะถอนตัว ก็ไม่ต้องห้ามคนพวกนั้น ให้ปล่อยไปเสีย
โดยพื้นฐานแล้วจีหยิงเป็นคนที่มั่นคงและแข็งแกร่งมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เขาเคยเป็นแม่ทัพของซ่งเทียนนั่นอีก เลยทำให้เขากลัวว่าทหารจากกองพันอื่น ๆ จะดูถูกตน ดังนั้นเมื่อได้รับคำสั่งของถังหยิน เขาจึงไม่กล้าชักช้า เร่งฝึกพวกทหารใต้บังคับบัญชาของตนอย่างบ้าคลั่งในทันที !
แม้ว่าการฝึกจะยากลำบาก แต่ก็มีทหารจำนวนน้อยมากที่ต้องการถอนตัวออกจากกองทัพอินทรีสวรรค์ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณความสามารถพิเศษของจีหยิง ที่ทำให้ทั้งกองพันกลายเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน !
มีการเกณฑ์ทหารจำนวนมาก ทำให้ที่ว่างภายในกองทัพได้รับการเติมเต็ม เช่นเดียวกับที่แต่ละกองพันขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
กองทัพของซ่งเทียนอาจมีปัญหาในการคัดเลือกคน แต่พวกเขาไม่เคยขาดแคลนทรัพยากรทางทหารและอาหาร ในหนึ่งปีที่ซ่งเทียนยึดอำนาจ เขานั้นได้เก็บสะสมของมีค่าไว้มากมาย ซึ่งในตอนนี้ ของที่ว่าก็ได้ตกมาอยู่ในเงื้อมมือของกองทัพเทียนหยวนแล้ว !
และด้วยพวกมันมีค่ามาก ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เก็บพวกมันไว้ในวังหลวง ทั้งยังออกคำสั่งให้คุมเข้ม เพื่อทำให้แน่ใจว่าสมบัติจะไม่หายไปไหน
…ชิวเจิ้นได้ส่งจดหมายไปยังผู้ว่าทั้งเจ็ดแล้ว แต่ทั้งหมดที่เด็กหนุ่มได้รับกลับมาคือการปฏิเสธ !!!
เมื่อถังหยินได้ยินเรื่องนี้ มันก็ทำให้เขาโกรธมาก จึงได้ออกคำสั่งให้กองกำลังไปปราบปรามคนพวกนั้นทันที ทว่าชิวเจิ้นกลับเอ่ยห้าม และบอกให้รอเวลา รอจนกว่าราชสำนักจะเป็นรูปเป็นร่างจึงค่อยพูดกันอีกที !
หลังจากได้ยินคำแนะนำของชิวเจิ้น ถังหยินก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล จึงได้ระงับความโกรธในใจลงชั่วคราว และรอการมาถึงของเหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางอย่างใจจดใจจ่อเพื่อที่จะได้ลงมือเสียที !
เหลียงซิง อู่หยู และจี้หยาง ตอนนี้พวกเขาทั้งสามอยู่ที่เทียนหยวน และเมื่อได้ยินว่าถังหยินเชิญพวกเขาไปที่เมืองหลวงเพื่อจัดตั้งราชสำนัก พวกเขาทั้งสามก็ดีใจอย่างมาก ด้วยไม่ว่าถังหยินจะมีเจตนาอย่างไร การอยู่ในเมืองหลวงก็ย่อมดีกว่าการอยู่ในพื้นที่ชายแดนเช่นนี้อยู่แล้ว !
อย่างไรก็ตามเพราะทั้งสามคนได้พาครอบครัวมาด้วย ดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงล่าช้าเป็นอย่างมาก มันต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนเลยทีเดียว กว่าที่พวกเขาจะมาถึงเมืองหยาน
เมื่อชาวเมืองทราบข่าวเรื่องการกลับมาของ 3 ตระกูลใหญ่ พวกเขาก็พลันเกิดความรู้สึกยินดี ดั่งเช่นที่ชิวเจิ้นได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยแม้ว่าผลงานทั้งหมดจะเป็นเพราะกองทัพเทียนหยวนที่ขับไล่ผู้ทรยศ แต่ในสายตาของคนทั่วไป พวกเขาก็ยังถือว่าด้อยกว่าตระกูล เหลียง ตระกูลอู่ และตระกูลจี้ !
ในสายตาของคนทั่วไป เหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางนั้นถือได้ว่าเป็นเสาหลักของแคว้น ผู้ที่สามารถช่วยพวกเขาจากวิกฤตต่าง ๆ!
เมื่อกองทัพเทียนหยวนเข้าสู่เมืองหยาน ประชาชนก็พลันพากันซ่อนตัว และเมื่อพวกเขาเห็นว่านักรบจากกองทัพเทียนหยวนไม่ทำอะไรมากเกินไป พวกเขาก็เริ่มกล้าที่จะออกมาจากบ้านของพวกเขา หากแต่ความกลัวในใจของคนพวกนี้ยังคงมีมากอยู่ แต่มันกลับผิดจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อทั้ง 3 ตระกูลที่ว่ากำลังจะมาถึง พวกเขาก็พลันพากันมายืนรอต้อนรับที่สองข้างทาง เพื่อรับการกลับมาของทั้ง 3 ตระกูล !
ทัศนคติของชาวบ้านที่มีต่อตระกูลขุนนางทั้งสามและกองทัพเทียนหยวนของพวกเขาอาจกล่าวได้ว่าแตกต่างกันราวกับฟ้ากับดินเลยทีเดียว
และเพื่อแสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มให้ความสำคัญกับเหลียงซิง อู่หยู และจี้หยาง ถังหยินจึงได้ออกมาต้อนรับพวกเขาเป็นการส่วนตัว ทว่าเมื่อได้เห็นเข้ากับฝูงชนที่ออกมาต้อนรับ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เช่นเดียวกับการแสดงออกบนใบหน้าของแม่ทัพและกุนซือจากกองทัพเทียนหยวนที่ดูไม่ดีเลย ทุกคนกำลังกัดฟันแน่น ด้วยฝ่ายของตัวเองเป็นผู้สร้างผลงาน เสียสละเลือดเนื้อจนได้มาแท้ ๆ แต่กลับไม่อาจสู้กับทั้ง 3 ตระกูลนี้ได้เลยงั้นหรือ ?
…ทั้ง ๆ ที่เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางไม่ได้ทำอันใดเลยแท้ ๆ แล้วเหตุใดกัน ทำไมพวกเขาถึงได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้คนมากขนาดนี้ ?!
ชิวเจิ้นเห็นว่าการแสดงออกของถังหยินเย็นชาและมืดมน เขาจึงถอนหายใจและพูดเบา ๆ “ความคิดของผู้คนยากที่จะเปลี่ยน มันต้องใช้เวลา ดังนั้นท่านแม่ทัพต้องใจเย็น ๆ และพยายามอย่าไปตั้งแง่ดีกว่านะขอรับ”
“งั้นเหรอ… !”
ถังหยินตอบด้วยเสียงต่ำ และเมื่อมองไปข้างหน้า เขาก็ได้เห็นเข้ากับขบวนของเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางที่กำลังเข้ามาอย่างเร็ว ทำให้ใบหน้าที่มืดมนถูกกวาดออกไป และถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล จริงใจ
เมื่อรถม้าหยุดตรงหน้าถังหยินและคนอื่น ๆ ก็เป็นเหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางที่ก้าวเดินลงมา ซึ่งสิ่งแรกที่ชายหนุ่มได้เจอเลยก็คือสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยามของจี้หยางที่มองมา “ท่านถัง ข้ามาแล้ว !”
ถังหยินแอบกัดฟันแน่น แต่เขาไม่ได้แสดงให้เห็นบนใบหน้า ชายหนุ่มเพียงยื่นมือออกไปจับแล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า “ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเสนาบดีอู่ และแม่ทัพใหญ่จี้หยาง ขอทักทายอย่างเป็นทางการ !”
ในแง่ตำแหน่ง ถังหยินเป็นผู้ว่ามณฑลเท่านั้น ส่วนเหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางนั้น พวกเขาก็ล้วนแล้วแต่มียศที่สูงกว่า ดังนั้นชายหนุ่มจึงต้องทำความเคารพพวกเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เมื่อเห็นถังหยินกำลังโค้งคำนับ จี้หยางก็ทำราวกับว่ามันเป็นธรรมชาติ เขาเอามือไพล่หลังยืนตรง และไม่ขยับไปไหน
ผิดกับเหลียงซิง ที่เมื่อเขาเห็นท่าทีของชายหนุ่มก็รีบกล่าวในทันที “ท่านถังสุภาพเกินไปแล้ว”
ในบรรดาพวกเขาทั้งสามคน มีเพียงอู่หยูเท่านั้นที่เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มแย้มแล้วกล่าว “เป็นเวลานานแล้วที่เราพบกันครั้งสุดท้าย หลานชายถังยังคงสง่างามเหมือนเดิม !”
…เมื่อเทียบกันแล้ว จากบรรดาคนทั้งสาม ถังหยินรู้สึกสนิทใจกับอู่หยูที่สุดแล้ว