บทที่ 366
บทที่ 366
จังหวะที่ถังหยินและอู่หยูกำลังทักทายกัน ชายหนุ่มก็พลันเหลือไปเห็นอู่เหมยที่กำลังเดินออกจากรถม้าและมองมาทางเขา ทำให้มุมปากของถังหยินยกขึ้นยิ้มให้ และเมื่อเห็นท่าทีแสร้งไม่สนใจของนาง ชายหนุ่มก็ได้แต่แอบหัวเราะ ก่อนที่จะพาอู่หยู เหลียงซี และจี้หยางไปที่จวนชั่วคราวของตน
หลังจากต้อนรับทั้งสามคนเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว ถังหยินก็ได้เชิญพวกเขาให้นั่งลงอย่างสุภาพ ท่ามกลางแม่ทัพและกุนซือจากกองทัพเทียนหยวนที่นั่งลงขนาบทั้งสองข้าง
ในไม่ช้าคนรับใช้ก็นำเนื้อและสุราที่เตรียมไว้ออกมาวางไว้หน้าโต๊ะ ก่อนที่ถังหยินจะหันไปยิ้มให้อู่หยู เหลียงซี และจี้หยางพร้อมกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเสนาบดีอู่ ท่านแม่ทัพจี้หยาง พวกท่านทำงานหนักมาตลอด ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมอาหารและสุราไว้ต้อนรับพวกท่าน”
แม้ว่าคำพูดของเขาจะสุภาพ แต่มันก็ฟังดูราวกับคำพูดของเจ้าของบ้าน ทำให้เหลียงซิงและจี้หยางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และโดยไม่ทันให้ทั้งสองพูด อู่หยูก็พลันเป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้นมาเสียก่อนว่า “ท่านถัง ข้าสงสัยว่าพระราชวังปลอดภัยหรือไม่? ”
ช่วงเวลาที่ซ่งเทียนขึ้นเป็นอ๋อง อู่หยูและคนอื่น ๆ ต่างก็ถูกกักบริเวณในจวน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าในวังหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นบ้าง
ถังหยินครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มและกล่าวว่า “ท่านเสนาบดีไม่จำเป็นต้องกังวล พระราชวังปลอดภัยดี และเนื่องจากท่านเสนาบดีได้กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว งั้นแล้วท่านก็สามารถกลับไปที่พำนักได้ตลอดเวลา”
“ดี !” หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านั้น อู่หยูก็พลันผ่อนคลายลงเช่นเดียวกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาที่กว้างขึ้น
เมื่อสิ้นเสียงของอู่หยู ก็เป็นถังหยินที่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขากล่าวอย่างจริงจังขึ้นมาในทันทีว่า “ที่ข้าเชิญท่านทั้งสามกลับเมืองหลวง ก็เพราะหวังว่าท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเสนาบดีอู่ และแม่ทัพใหญ่จี้หยางจะมาช่วยลดความขัดแย้งภายใน ทำให้แคว้นสงบร่มเย็น และกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกครั้ง …ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามยินดีที่จะรับผิดชอบอันหนักอึ้งนี้หรือไม่ ?”
“ อืม ๆ?” อู่หยูพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะถามกลับไปว่า “แล้วตำแหน่งทางการของเราคือ… ?”
“แน่นอนว่าต้องคืนสถานะเดิม ท่านเสนาบดีอู่ยังคงเป็นท่านเสนาบดีฝ่ายขวา และท่านเสนาบดีเหลียงยังคงเป็นท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย ส่วนแม่ทัพใหญ่จีหยิงยังคงเป็นแม่ทัพใหญ่เช่นเดิม” ถังหยินหัวเราะและกล่าว
“แน่นอน” โดยไม่รอให้อู่หยูตอบ จี้หยางก็พลันกล่าวแทรกขึ้นอย่างมั่นใจ
คำพูดนั้นทำให้ถังหยินเลิกคิ้ว จ้องตรงไปที่จี้หยาง และแม้ว่าเขาจะยิ้ม แต่ความอดทนของเขาที่มีต่อจี้หยางก็ได้ถึงขีดจำกัดแล้ว !
ทันใดนั้นเหลียงซิงก็พลันพูดออกมา “แคว้นไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากผู้ปกครอง และราชสำนักก็ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากผู้ปกครอง ทว่าการสร้างราชสำนักนั้นเป็นเรื่องที่พวกเราทำได้ แต่มันก็ยังต้องมีผู้ปกครองคนใหม่ด้วย !” เมื่อคำพูดเหล่านี้มาถึงจุดสำคัญ อู่หยูและจี้หยางก็พลันหันมองไปที่ถังหยินพร้อมกัน เพื่อรอคำตอบของชายหนุ่ม
เมื่อมาถึงจุดนี้ ถังหยินก็ไม่ชักช้าอีก เขาเปิดเผยท่าทางที่จริงจังก่อนพยักหน้าและกล่าวว่า “แคว้นเฟิงนั้นก่อตั้งขึ้นโดยตระกูลจ้าว ดังนั้นแล้วถ้าจะแต่งตั้งอ๋องคนใหม่ งั้นก็ควรเลือกจากคนของตระกูลจ้าว”
เหลียงซิงขมวดคิ้ว “นับตั้งแต่ที่ซ่งเทียนแย่งชิงบัลลังก์มา เขาก็ได้สังหารคนตระกูลจ้าวไปทั้งหมด มาตอนนี้ ไม่มีใครสักคนในแคว้นเฟิงทีมี่นามสกุล ‘จ้าว’ อีกต่อไปแล้ว”
ถังหยินที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบอย่างแผ่วเบากลับไป “นั่นคือปัญหา” ก่อนที่จะหันมองไปทางชิวเจิ้นแล้วถามว่า “ท่านชิว ท่านมีความคิดเห็นเช่นไร ?”
ชิวเจิ้นจับมือของเขาเข้าด้วยกันทันทีและกล่าวว่า “นายท่าน ในความคิดของข้า เราควรติดประกาศทั่วแคว้น เพื่อค้นหาผู้สืบเชื้อสายโดยตรงของท่านอ๋องคนก่อน จะได้ยืนยันแน่แล้วว่าไม่มีใครอีกจริง ๆ”
ถังหยินพยักหน้ารับ ก่อนจะละสายตาจากชิวเจิ้นและหันไปมองเหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางพร้อมร้องถามว่า “พวกท่านคิดอย่างไรกับความคิดเห็นของท่านชิว ?”
ข้อเสนอแนะของชิวเจิ้นไม่ได้ฟังดูไม่เหมาะสม และไม่ได้ดูเหมือนว่าเขากำลังเก็บงำเจตนาที่เห็นแก่ตัวใด ๆ ในความเป็นจริงทั้งเขาและถังหยินต่างก็รู้ดีว่าตระกูลจ้าวถูกซ่งเทียนถอนรากถอนโคนไปหมดแล้ว และไม่มีผู้สืบเชื้อสายใด ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และแม้ว่าจะมีประกาศหาตัวไปทั่วทั้งแคว้น มันก็คงจะไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติปรากฎตัวขึ้นเลย ส่วนเหตุผลที่เด็กหนุ่มพูดไปแบบนั้น มันก็เพราะเขาต้องการจะซื้อเวลาให้กับถังหยิน เพื่อให้ชายหนุ่มทำลายขั้วอำนาจเก่าของซ่งเทียน และควบรวมพวกเขาทั้งหมดให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน !
อู่หยู เหลียงซี และจี้หยางต่างพากันวิเคราะห์คำพูดของชิวเจิ้นอย่างรอบคอบ ซึ่งพวกเขาต่างก็รู้สึกว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้นสมเหตุสมผล ก่อนจะเป็นเหลียงซิงที่ถามว่า “ถ้าเราทำตามคำของท่านชิว และกลายเป็นว่าไม่มีลูกหลานตระกูลจ้าวปรากฏขึ้นเลยเล่า ? ..พวกเราจะต้องรอตลอดไปหรือ ?”
ชิวเจิ้นหัวเราะ “ถ้าเป็นแบบนี้จริง ๆ มันก็คงเป็นความประสงค์ของสวรรค์ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ควรที่จะรอสัก 3 เดือน ซึ่งหากไม่มีผู้สืบสอดใด ๆ ปรากฏกายขึ้นมาจริง ๆ งั้นแล้ววันนั้นเราก็ค่อยกลับมาคิดหาทางเลือกใหม่กัน !”
“ข้าสงสัยว่าท่านชิวมีแผนจะทำอะไรกับทางเลือกที่ว่ากัน ?
เมื่อสิ้นคำนั้น ถังหยินก็พลันโบกมือและขัดจังหวะด้วยรอยยิ้ม “ท่านเสนาบดีเหลียง มันยังเร็วเกินไปที่จะพูดคุยเรื่องนี้ ! ด้วยสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการทำให้ปัญหาภายในและภายนอกสงบลง หาใช่การหาว่าใครกันที่ควรสืบทอดอำนาจต่อจากท่านอ๋องคนก่อน”
“แต่ว่า ?”
เหลียงซิงกำลังจะพูด แต่อู่หยูชิงเปิดปากก่อน “เจ้าหนูถัง เจ้าพูดถูกแล้ว ซ่งเทียนคือปัญหาสำคัญที่เราควรจัดการ !”
“ใช่ ๆ!” เหลียงซิงหายใจเข้าลึก ๆ มองไปที่ถังหยินจากนั้นมองไปที่อู่หยู และเข้าใจได้ในทันทีว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่ถอนหายใจกับตัวเองเงียบ ๆ
ถังหยินกล่าวว่า “สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือการยึดคืนพื้นที่ทั้งหมดของซ่งเทียนกลับมา ด้วยพื้นที่เหล่านั้นล้วนแต่สำคัญทั้งสิ้น !”
“นั่นก็จริง !” ในฐานะแม่ทัพใหญ่ จี้หยางมีความเชี่ยวชาญในกลยุทธ์ทางทหารเป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าคำพูดของถังหยินนั้นสมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก “แต่นั้นหมายถึงเราต้องโจมตีพื้นที่ทั้งเจ็ดนั่น ?”
“ไม่ ๆ” ถังหยินเว้นช่วง ก่อนจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราควรเจรจาและค่อยตามด้วยกำลังทหาร ! ถ้าพวกเขาทั้งเจ็ดยินยอม นั่นก็หมายความว่าพวกเขาอยู่ต่อได้ แต่ถ้าไม่ งั้นแล้วก็ให้ถือเสียว่าพวกเขาอยู่ฝ่ายซ่งเทียนที่ต้องปราบปราม ! ”
“ทำไมต้องทำเช่นนั้นเล่า ?!” จี้หยางโบกมืออย่างไม่พอใจ ปากกล่าวว่า “เมื่อซ่งเทียนขึ้นเป็นอ๋อง ผู้ว่าทั้งเจ็ดต่างก็ยอมจำนนในทันที พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นคนทรยศต่อแคว้นเฟิง ดังนั้นแล้วพวกเขาล้วนสมควรตาย ! แต่ถ้าเจ้ากลัวว่าจะทำไม่สำเร็จ งั้นก็จงมอบอำนาจให้ข้า เดี๋ยวข้าจะจัดการพวกมันเอง !”
ถังหยินตกใจในตอนแรก แต่หลังจากนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ ด้วยสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมานั้น คงมีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะดูไม่ออกถึงเจตนา !!!
เมื่อเห็นรอยยิ้มของถังหยิน จี้หยางก็พลันขมวดคิ้ว เขาจ้องตรงไปที่ถังหยินและพูดว่า “ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ดังนั้นข้าจึงมีอำนาจในการเคลื่อนย้ายกองทัพทั่วทั้งแคว้น อย่าบอกนะว่ากองทัพภายใต้ท่านถัง ข้าไม่มีสิทธิ์สั่งการ ?”
คำพูดนี้ทำให้การแสดงออกของทุกคนโดยรอบเปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะพวกแม่ทัพและเหล่ากุนซือนักยุทธศาสตร์ของกองทัพเทียนหยวน …ทุกคนต่างจ้องไปที่จี้หยางด้วยความโกรธ
ดูเหมือนว่าจี้หยางจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ถังหยินก็ยังคงมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของเขา ชายหนุ่มไม่ได้โกรธแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ยกจอกสุราขึ้นดื่ม และทำราวกับว่าคำพูดของจี้หยางเป็นเพียงลมพัดผ่านหู
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ที่ด้านนอกห้องโถงก็ได้บังเกิดความวุ่นวายขึ้น ทำให้พวกเขาทั้งหมดพากันหันมองไป และพบว่าต้นเหตุของเสียงก็คือทหารกลุ่มหนึ่ง !
ที่ด้านนอกนั่น นอกจากนายทหารพวกนั้นแล้ว ก็ยังมีคนกว่า 20 คนที่ถูกมัดไว้ด้วย !
….ก่อนจะเป็นนายกองผู้หนึ่งที่สาวเท้าก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าถังหยิน “นายท่าน ข้าจับตัวปัญหาจางซ่งและครอบครัวของเขามาได้แล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินชื่อจางซ่ง เหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางก็ถึงกับตกใจ เพราะจางซ่งเป็นถึงขุนนางระดับสูงภายในราชสำนัก และถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะไม่สูง แต่มันก็ไม่ต่ำเช่นกัน !
…อันที่จริงตั้งแต่ครั้งที่ซ่งเทียนชิงบัลลังก์ คนคนนี้ก็ได้ถูกกักบริเวณในบ้านพัก ก่อนจะถูกย้ายไปยังคุกใต้ดินในที่พำนักของซ่งเทียน ซึ่งตัวเขานั้นก็ได้ถูกขังอยู่ที่เดียวกับคนอื่น ๆ
ซึ่งเมื่อพูดตามหลักเหตุและผลแล้ว จางซ่งนั้นควรถูกมองว่าเป็นคนที่ซื่อสัตย์ แล้วทำไมเขาถึงกลายเป็นคนบาปได้กัน ? …พวกเขาทั้งสามไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้น
ถังหยินมองไปยังคนทั้งสามที่มีสีหน้าสับสนและกล่าวว่า “จากการสอบสวนพวกแม่ทัพเปิง ทำให้ข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วจางซ่งนั้นถูกซ่งเทียนซื้อตัวนานแล้ว”
“ให้ตายเถอะ !”
ขณะที่ถังหยินพูดจบ ชายวัยกลางคนในลานกว้างที่ถูกมัดก็พลันตะโกนแก้ตัว “ข้าถูกกล่าวหา ! ขุนนางคนนี้จงรักภักดีต่อท่านอ๋องเสมอ ข้าไม่เคยมีเจตนาอื่นใดแอบแฝง ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเสนาบดีอู่ ท่านแม่ทัพจี้หยาง ข้าคนนี้ถูกคุมขังร่วมกับพวกท่านทั้งสามคนมาโดยตลอด แล้วแบบนี้ข้าจะเป็นขี้ข้าของซ่งเทียนได้อย่างไรกัน ?” ขณะที่พูด น้ำตาของเขาก็ได้ร่วงหล่นราวกับสายฝน เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่สั่นสะท้าน
ในทางกลับกัน ถังหยินไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขาเพียงหยิบหนังสือเปื้อนเลือดออกมาจากอกเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ “นี่คือคำให้การของแม่ทัพเปิงที่ว่า มันคือหลักฐานมัดตัวเจ้า !”
“นี่มันไม่ยุติธรรม ! ข้าบริสุทธิ์ ! นี่เป็นการใส่ร้าย ! ท่านเสนาบดีเหลียง ท่านเสนาบดีอู่ ท่านแม่ทัพจี้หยาง พวกท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย !!”
ตอนที่ถูกกักบริเวณในจวนของซ่งเทียน เขาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส แต่เมื่อพวกทรยศนั่นจากไปแล้ว ทำไมพวกเขาถึงได้โดนแบบนี้อีก ? นี่มันบ้าอะไรกัน !
เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ยอมรับ พวกทหารก็พากันเงื้อนดาบขึ้นสูง ทำให้เหลียงซิง อู่หยู และจี้หยางรู้สึกหนาวสั่นในใจกับภาพตรงหน้า ก่อนเป็นเหลียงซิงกับจี้หยางที่ตะโกนออกมาในเวลาเดียวกัน “ท่านถัง ประเดี๋ยวก่อน !”
“หืม ? ท่านเสนาบดีเหลียง แม่ทัพใหญ่จี้หยาง พวกท่านมีอะไร ?” ถังหยินทำท่าราวกับว่าเขาไม่เข้าใจ และหันมองไปยังทั้งสองคน