บทที่ 411
บทที่ 411
เมื่อเห็นห่าฝนธนูกำลังพุ่งตกลงมา จุยเฟิงเจียนก็พลันกู่ร้องพร้อมกับที่ดาบของเขาเปล่งแสงสว่างแสบตาและสายลมที่ส่งตรงออกมาจากใบดาบในมือ จนเข้าปะทะกับลูกศรทำให้พวกมันแหลกกระจายไปตาม ๆ กัน
อิงปูและทุกคนต่างก็ตะลึงกับภาพตรงหน้า ด้วยแม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้พลังระดับสูงขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยล้าเลยสักนิดเดียว …นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ?!
จุยเฟิงเจียนใช้วิชาลมวายุคลั่งแบบฉบับที่เขาทำขึ้นมาด้วยตัวเอง ทำให้ความแตกต่างระหว่างจุยเฟิงเจียน หยวนยู่ และจ้านอู่ตี้เห็นชัดขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือการที่จุยเฟิงเจียนมุ่งศึกษาเทคนิคทักษะวิชาพลังปราณของเขาจนทำให้โดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ เมื่อเทียบกันแล้ว
และแม้ว่ารูปลักษณ์มันจะคล้ายกัน แต่ทักษะวิชานี้ของจุยเฟิงเจียนก็ใช้ปราณน้อยกว่ามาก ทำให้เขาสามารถใช้มันได้บ่อยครั้งกว่า จนห่าธนูไม่สามารถสัมผัสกายได้เลย
โดยไม่รอช้า เขารีบพุ่งเข้าใส่พวกทหารของอิงปูทันที
เมื่อวิ่งเข้าไป ปีกของขบวนทัพบาที่เดิมเป็นตัววีก็พลันกลับมากลายเป็นรูปตัวโอเข้าล้อมจุยเฟิงเจียนเอาไว้
พวกเฟิงตะโกนด้วยความโกรธแค้น นายทหารนับสิบนายถือหอกพุ่งเข้าแทงใส่จุยเฟิงเจียนทันที
เมื่อตกอยู่ในวงล้อมศัตรูเช่นนี้ จุยเฟิงเจียนก็ยังไม่แสดงอาการตื่นตระหนกออกมาแม้แต่น้อย เขาหมุนควงดาบในมือตัวเองจนเกิดเสียงดังสนั่นแสบแก้วหู
ในขณะที่ทุกคนตะลึง จุยเฟิงเจียนก็พลันพุ่งเข้าไปพร้อมกับดาบที่แทงไปข้างหน้า
ฉึก !
ดาบของเขาแทงทะลุทหารไปสองนายติดกัน แล้วพลังดาบของเขาก็ยังทำให้พวกทหารที่ติดกันร่างกายถูกผ่าแยกออกเป็นสองท่อน ก่อนที่ดาบจะเปลี่ยนเป็นฟันกวาด ทำให้ทหารโดยรอบล้มลงราวกับใบไม้ร่วง
ดาบปราณของจุยเฟิงเจียนนั้นทรงพลังมาก พวกทหารเฟิงถูกฆ่าเรียบต่อหน้าเขา แต่ถึงกระนั้นพวกทหารก็ยังคงถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
และภายใต้การเข้าโจมตีอันบ้าบิ่นนี้เอง ที่ทำให้จุยเฟิงเจียนไม่สามารถบุกไปข้างหน้าต่อได้
ระหว่างที่พวกเขาสู้กันก่อนหน้านี้ จุยเฟิงเจียนพยายามเก็บพลังปราณเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ในตอนนี้เขาจำต้องใช้มันออกมามากกว่านั้นเล็กน้อย เพื่อทำให้แน่ใจว่าตัวเองจะสามารถฝ่าออกไปได้ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นอย่างที่เห็น ซึ่งผลอีกอย่างของมันก็คือแรงกดดันศัตรูที่ทำให้พวกเฟิงจำต้องถอยกลับไป
ตอนนี้จุยเฟิงเจียนได้ติดกับของพวกทหารเฟิงเข้าแล้ว และยิ่งเขาใช้พลังปราณน้อยเท่าใด มันก็ยิ่งทำให้พวกเฟิงพากันวิ่งโถมเข้าใส่เขาอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่มีโอกาสพักหายใจเท่านั้น
…ท้ายที่สุดก็ติดอยู่ในกับดักที่ไม่มีวันฝ่าออกไปได้ เกราะปราณของเขาส่งเสียงดังเวลากระทบกับอาวุธที่พุ่งเข้ามา
จุยเฟิงเจียนเริ่มรู้ตัวแล้วว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่สู้ดีสำหรับเขา จึงได้เลิกคิดการเก็บงำพลังปราณเอาไว้ และปล่อยมันออกมาทั้งหมด !!!
ดาบของเขาถูกยืดยาวออกไปอย่างมาก ตัวดาบเริ่มอ่อนลงราวกับเป็นงูตัวใหญ่เลื้อยผ่านพวกทหารเฟิงและเริ่มตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
จุยเฟิงเจียนยืดแขนออกแล้วตะโกน “ทำลายล้าง !”
เพียงพริบตาเดียว ทหารกว่าสิบนายที่อยู่ในวงล้อมของดาบก็พลันถูกฟันจนตัวขาดครึ่งพร้อมกัน
อย่าว่าแต่พวกทหารเลวเลย พวกอิงปูที่อยู่ข้างนอกต่างก็หวาดกลัวจนเม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมา ด้วยพวกเขาไม่เคยเจออาวุธแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
และเพราะจุยเฟิงเจียนมีอาวุธชนิดนี้ จึงทำให้เขาเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่ง ด้วยอีกฝ่ายคงไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจะถูกโจมตีเข้ามาเช่นไร
หลังจากเงียบไปสักพัก พวกทหารเฟิงก็เริ่มได้สติ พวกเขาโกรธจัดแล้วมุ่งหน้าเข้าใส่จุยเฟิงเจียนทันที
จุยเฟิงเจียนยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ส่วนดาบในมือของเขาก็ใหญ่ขึ้นพุ่งแทงใส่พวกทหารที่อยู่ข้างหน้าและเอาแต่พุ่งเข้าแทงทหารคนอื่นที่อยู่รอบตัวเขาไปเรื่อย ๆ
ดาบงูเปลี่ยนทิศทางบนอากาศ และเพียงพริบตาเดียวมันก็สังหารพวกทหารเฟิงที่อยู่รอบตัวเขาไปเกือบหมด
อิงปูเริ่มเหงื่อแตกไม่หยุด เขาคิดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้ด้วยง่าย ๆ แน่ และถ้าหากยังยื้อต่อไป พวกเขาจะต้องตายกันหมด !!! “ถอยก่อน ! กลับเข้าไปในเมือง !”
อิงปูกล่าวจบก็ควบม้ากลับไปยังเมืองในพลัน
พวกทหารที่เห็นแบบนั้นก็ทำตามกันอย่างรวดเร็ว
จุยเฟิงเจียนรู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังถอยหนีกลับไปในเมือง และเขาก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถทำอันตรายกำแพงเมืองได้แน่ ดังนั้นจึงได้เร่งพลังทั้งหมดในมือแล้วอัดพลังปราณเข้าไปในดาบ เพื่อให้มันกระจายไปทั่ว
ภายใต้การไล่ล่าอันบ้าคลั่ง อิงปูต้องรีบถอยกลับเข้าไปในเมืองก่อนที่จะสั่งให้พวกทหารยิงธนูสกัดเอาไว้
เมื่อคำสั่งถูกถ่ายทอดออกมา พวกทหารต่างก็รีบทำตามอย่างเร่งรีบและไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ทหารหนิงมีกำลังเพียงแค่ไม่กี่ร้อนคนเท่านั้น แต่คุณภาพพวกเขาเทียบเท่ากับ 3 หมื่นคนที่สามารถปกป้องกำลังเมืองนี้ได้เลย
ห่าฝนธนูถูกยิงออกมาหลายรอบและถูกจัดการโดยจุยเฟิงเจียนจนหมดสิ้นทุกคราไป
อาจบอกได้เลยว่าศึกนี้ทำให้อิงปูได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ มันทำให้เขาเข้าใจว่าหากยังไม่รู้จักพลังศัตรูดี จงอย่ารีบโจมตีอย่างไม่คิดเด็ดขาด !!
จุยเฟิงเจียนถอนหายใจแล้วพุ่งเข้าไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ห่าฝนธนูกลับทรงพลังกว่าเดิมจนทำให้เขาต้องถอยกลับมา
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็หันไปมองซ้ายขวา ก่อนจะพบเข้ากับจ้านอู่ตี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “แม่ทัพจ้าน เราจะเข้าไปยังไงกันดี ?”
จ้านอู่ตี้เลียริมฝีปากก่อนจะพูด “อีกฝ่ายจะต้องถูกตีแตก หรือไม่ก็พวกเราต้องมีปีกนั่นแหละ” จากนั้นเขาก็เดินกลับมาหาผู้เป็นพี่ของตัวเอง
เมื่อจ้านอู่ตี้เดินกลับมาถึงก็บ่นพึมพำกับผู้เป็นพี่ว่า “พี่ใหญ่ ครั้งนี้ถ้าเราไม่สามารถบุกเข้าไปได้ เราก็จะออกไปไม่ได้”
จ้านอู่ฉางกำหมัดแล้วมองทางผ่านบาตรงหน้าด้วยความเจ็บแค้น
ถ้าหากว่าพวกทหารมันออกมานอกเมืองหมดก็ยังพอมีหนทางเข้าโจมตีได้ แต่นี่พวกเขากลับเข้าไปกันหมดแล้ว มันก็เลยทำให้ยากเข้าไปกันใหญ่ !!
ซ่งเทียนถามขึ้นอย่างสิ้นหวัง “ถ้างั้นพวกเราจะทำยังไงกันดี ?”
จ้านอู่ฉางเองก็อยากจะถามเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงหันไปถามชายชราว่า “ฝ่าบาท ยังมีเมืองที่ท่านคิดว่ายังเป็นพวกของท่านอยู่อีกหรือไม่ ?”