บทที่ 432
บทที่ 432
ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่าการต่อสู้ระหว่างสองกองทัพจะต้องมีการเตรียมการ และด้วยกองทัพเทียนหยวนในตอนนี้ยังไม่พร้อม ดังนั้นถังหยินจึงได้วางแผนที่จะโจมตีจางหยู่ไปก่อน
ในช่วง 2 วันมานี้ พวกเขาค่อยไล่ประหารพวกเชลยดื้อรั้นที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือหรือมีท่าทีต่อต้าน จากนั้นถังหยินจึงได้ส่งกองกำลังออกไปอีกหลายกองเพื่อไปยึดหมู่บ้านรอบ ๆ จางหยู่ และหลังจากผ่านไป 2 วัน ในที่สุดกองทัพปิงหยวนของเขาก็มาถึงพร้อมกับเสบียง ถังหยินจึงสั่งให้กองทหารบุกไปที่จางหยู่โดยไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป
เนื่องจากได้รับบทเรียนมาก่อนหน้านี้ ในการสำรวจครั้งนี้กองทัพเทียนหยวนจึงระมัดระวังอย่างมาก สายลับที่รับผิดชอบในการสอดแนมทั้งหลายถูกส่งให้สำรวจไกลออกไปถึง 60 ลี้ ! เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีอันตรายใดรอพวกเขาอยู่ระหว่างทาง !!
…หลังจากใช้เวลาเดินทาง 3 วัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเป้าหมายโดยไม่เจอปัญหาได้ ทุกอย่างล้วนราบรื่นตลอดเส้นทาง !!
มณฑลเกาฉวนมีภูเขามากมาย และสิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากจุดนี้ก็คือเมืองจางหยู่ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบขนาดใหญ่ ทำให้ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ…
อาการบาดเจ็บในปัจจุบันส่วนใหญ่ของถังหยินหายดีแล้ว ชายหนุ่มจึงขี่ม้าโดยมีแม่ทัพคนอื่น ๆ ประกบข้าง ก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองภูมิประเทศโดยรอบ และพบว่าเมืองจางหยู่มีกำแพงเมืองที่สูงยิ่งขวางกั้นอยู่ทั้งสี่ทิศทาง !!
หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง ถังหยินก็จึงหันศีรษะมาและถามว่า “รู้ไหมว่าตอนนี้มีศัตรูอยู่ทั้งหมดกี่คน ?”
หลีเทียนและอัยเจียต่างก็เดินไปข้างหน้าและกล่าวว่า “นายท่าน จางหยู่ไม่มีปิดกั้นไม่ให้คนเข้าออกมาสองสามวันแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเข้าเมืองไปสืบข่าวได้เลย ทำให้ในขณะนี้เราไม่ทราบจำนวนกองกำลังศัตรูที่แน่นอน อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ของหมู่บ้านและเมืองโดยรอบ เราก็จะพอคาดเดาได้ว่ากองกำลังของศัตรูน่าจะมีราว ๆ สามสี่หมื่นนาย”
หืม ! จางหยู่เองก็มีทหารประจำอยู่แล้วสองหมื่นนาย มาตอนนี้มีกำลังมาเพิ่มอีกสองหมื่น และหากพวกเขาเกณฑ์ชาวเมืองมาเสริม ก็น่าจะมีกำลังทหารรวม ๆ อยู่ที่ประมาณห้าหมื่นนาย
ถังหยินพยักหน้าแล้วพูดกับมูฉิงและจีหยิง “ตั้งค่ายห่างจากจางหยู่ พักผ่อนสักวัน พรุ่งนี้เช้ากองทัพทั้งหมดจะเข้าโจมตี !”
“ขอรับ นายท่าน !” มูฉิงและจีหยิงน้อมรับคำสั่ง
ตามคำสั่งของถังหยิน กองทัพเทียนหยวนควรตั้งค่ายห่างจากเมืองศัตรูมา 2 ลี้ ซึ่งคนที่รับผิดชอบก็คือจีหยิง ด้วยเพราะคนผู้นี้เชี่ยวชาญและมีความรู้ในด้านยุทศาสตร์และการตั้งค่ายที่ไม่เป็นสองรองใครในกองทัพเลย
ซึ่งจีหยิงก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเขาได้ตั้งค่ายล้อมรอบเมืองของศัตรูเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสออกจากเมือง และถ้ามองในทางกลับกัน มันก็ถือเป็นเรื่องง่ายสำหรับศัตรูที่จะบุกเข้ามาด้วยเช่นกัน !
เมื่อจีหยิงตั้งค่ายเสร็จท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว ถังหยินจึงทำเพียงตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบแบบคร่าว ๆ ก่อนจะพยักหน้าให้ด้วยความพึงพอใจ
อันที่จริงแล้วจำนวนทหารที่พวกเฟิงคาดเดาไว้นั้น ก็ถือว่าค่อนข้างตรงมากทีเดียว ทว่าจำนวนทหารที่สามารถใช้งานได้จริงมีไม่มากนัก มีเพียงทหารประจำเมือง 2 หมื่นนาย กับทหารกองหนุนอีก 2 หมื่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ทหารกองหนุนทั้งหมดล้วนแต่เป็นทหารผ่านศึกที่เกษียณจากกองทัพมานานและมีบางคนที่อายุสี่สิบถึงห้าสิบปีที่ต้องอาศัยไม้เท้าในการเคลื่อนไหว !
…มีเพียงราว ๆ พันคนเท่านั้นที่แข็งแรงพอจะสู้รบไหวในหมู่ทหารกองหนุน
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของจางหยู่ สิ่งเดียวที่สามารถทำให้ผู้คนสบายใจได้ก็คือการป้องกันของเมืองที่แน่นหนาและมีอาหารเพียงพอ จนทำให้ซ่งเทียน จ้านอู่ฉาง เสี่ยวชาง และคนอื่น ๆ มีความมั่นใจสูงยิ่งที่จะต่อต้านกองทัพเทียนหยวน ณ ที่แห่งนี้
ในคืนนั้นซ่งเทียน จ้านอู่ฉางและคนที่เหลือต่างมารวมตัวกันที่จวนผู้ว่า และแม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันในห้องโถง แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด
เพราะนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังคงมีทหารจากกองทัพเทียนหยวนอีกมากที่จะเข้ามาเสริมกำลัง แล้วพวกเขาเล่า ? เมืองแห่งนี้จะต้านทานได้นานเท่าใดเชียว ? หนึ่งเดือน สองเดือน หรือหนึ่งปี ?
“ท่านแม่ทัพขอรับ !” ตามเสียงนั่น ก็เป็นแม่ทัพคนหนึ่งเดินที่ออกมา เขาผู้นี้สวมหมวกและชุดเกราะสีเงิน มีรูปร่างที่สูงและแข็งแรงอยู่ในวัยสามสิบต้น ๆ ทั้งยังมีเคราสีขาวดำที่ช่วยส่งเสริมรูปลักษณ์ให้ดูสง่างามกล้าหาญและผ่าเผย
ก่อนหน้านี้ซ่งเทียนไม่สนใจสิ่งใดแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นแม่ทัพผู้นี้ ดวงตาของเขาพลันสว่างขึ้น ด้วยคิดว่า ‘ผู้ชายคนนี้ช่างดูฮึกเหิมเสียจริง !’ ก่อนจะหันมองไปที่เสี่ยวชางด้วยความงงงวยและถามว่า “นี่มัน… ?”
“โอ้ ! เขาคือลูกน้องของข้าเอง ชื่อว่าฮ่าวจ้าว” หลังพูดจบ เสี่ยวชางก็หันไปถามว่า “ต้องการอะไร ?”
“นายท่าน ข้าคิดว่าคืนนี้เราควรจะลอบโจมตีค่ายของศัตรู”
โอ้ ? หลังจากได้ยินเช่นนั้น ซ่งเทียน จ้านอู่ฉางและคนอื่น ๆ ก็พลันหันไปมองฮ่าวจ้าว
เสี่ยวชางที่ได้ยินแบบนั้นแอบขมวดคิ้ว ด้วยฮ่าวจ้าวคนนี้พูดบ้าอะไรออกมากัน ? ทำไมถึงต้องออกไปนอกเมืองเพื่อโจมตีศัตรูด้วย ? “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ ไปเสีย !”
“นายท่าน กองทัพเทียนหยวนได้ตั้งค่ายใหญ่นอกเมืองของเรา พวกทหารจะต้องเหนื่อยมากแน่ หากเราโจมตีในตอนกลางคืนและจับศัตรูได้ เราจะต้องชนะแน่นอน” ฮ่าวจ้าวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
ขณะนี้เสี่ยวชางไม่เต็มใจที่จะต่อสู้จากก้นบึ้งของหัวใจ ดังนั้นหลังจากที่ฮ่าวจ้าวพูดจบ ใบหน้าของเขาก็พลันมืดมนและเย็นชามากขึ้นขณะที่ปากพูดไปว่า “สงครามไม่ใช่สนามเด็กเล่น มันไม่ง่ายอย่างที่พูด”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ ซ่งเทียนพลันโบกมือและเข้าขัดจังหวะพลางพูดเบา ๆ ว่า “แต่ข้าคิดว่าคำพูดของแม่ทัพนายนี้มีเหตุผล” ในขณะที่พูด เขาก็ได้มองไปที่จ้านอู่ฉางและถามว่า “แม่ทัพจ้านอู่ฉาง ท่านคิดอย่างไรบ้าง ?”
จานอู่ฉางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจากนั้นก็พูดว่า “ถังหยินเป็นคนเจ้าเล่ห์มาก ทั้งยังมีคนที่มีความสามารถมากมายอยู่ใต้บังคับบัญชา ข้ากลัวว่ากองทัพเทียนหยวนจะจงใจไม่ป้องกันการลอบโจมตีของกองกำลังของเราด้วยซ้ำ !”
ฮ่าวจ้าวจ้องมองและพูดกับเสี่ยวชาง “การตั้งค่ายของศัตรูอาจจะเป็นเพียงแค่กลลวงเพื่อล่อให้เราไปติดกับ แต่ถ้าเราเข้าลอบโจมตีในเวลากลางคืนวันนี้ เราก็อาจจะมีเวลาให้พักหายใจมากยิ่งขึ้น ข้ามั่นใจเลยว่าข้าสามารถเอาหัวของถังหยินมาให้ท่านได้ !!”
เมื่อเสี่ยวชางเห็นฮ่าวจ้าวอาสาแบบนี้ ไม่เพียงแต่เขาไม่รู้สึกดีใจ แต่เขายังโมโหมากจนต้องกัดฟันข่มความโกรธ เพราะคำพูดที่ว่าจะซุ่มโจมตีค่ายของศัตรูและตัดเอาหัวของถังหยินดูเหมือนง่ายดายยิ่ง ทว่ามันจะง่ายดั่งเช่นที่ปากพูดงั้นหรือ ?
ปัง !
ทันใดนั้นเสี่ยวชางก็พลันกระแทกโต๊ะ ดวงตาของเขาแทบจะมีไฟลุกออกมา ก่อนจะตะโกนใส่หน้าของฮ่าวจ้าว “หยุดพูดเรื่องไร้สาระ ถ้าสงสัยในความสามารถของข้ามากนักล่ะก็ เราได้เห็นดีกันแน่ ! ถอยไปซะ !!”
ในตอนแรกฮ่าวจ้าวก็อยากที่จะต่อปากต่อคำ แต่ในเวลานี้กลับมีแม่ทัพหนุ่มในชุดเกราะสีทองคว้าข้อมือของเขาเอาไว้แล้วดึงกลับมาอย่างแรง ก่อนที่ในเวลาเดียวกันอีกฝ่ายจะพูดด้วยเสียงต่ำ “เมื่อเขาไม่พอใจกับคำพูดนั้น เจ้าก็ควรที่จะหยุดพูดซะ”
“แต่ว่า… !? ถ้าเราพลาดโอกาสนี้ไป กองทัพของเราก็จะไม่มีหวังที่จะชนะอีก ! ” ฮ่าวจ้าวส่ายหัวอย่างแรง
แม่ทัพหนุ่มในชุดเกราะสีทองมองลึกเข้าไปในดวงตาของฮ่าวจ้าวและพูดแผ่วเบา “ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ มันก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ ! หัดปล่อย ๆ มันไปซะบ้าง”
“เฮ้อ… !” ฮ่าวจ้าวถอนหายใจขึ้นฟ้า และจงใจเปล่งเสียงของเขาออกมา “ถ้าเราไม่ต่อสู้ในตอนนี้ ข้ากลัวว่าในอนาคตกองทัพของเราจะไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ด้วยซ้ำ”
เสี่ยวชางกระวนกระวายใจยิ่งนัก เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพวกนั้น ด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาถือได้ว่าเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดกว้างและอ่อนโยนมาก ดังนั้นเขาจึงยังสามารถทนต่อแม่ทัพที่ไม่เห็นด้วยกับเขาได้ไม่ว่าเรื่องนั้น ๆ จะหนักหนาแค่ไหนก็ตาม
ในความเป็นจริงจ้านอู่ฉางกำลังพิจารณาว่าแผนของฮ่าวจ้าวเป็นไปได้หรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกฝ่ายพูดถูก กองทัพ เทียนหยวนเดินทางมาไกล และพวกเขาไม่เคยหยุดตั้งค่ายแม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้นความเหนื่อยล้าจึงย่อมต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน !
บางทีคืนนี้อาจเป็นโอกาสดีที่จะทำการลอบโจมตีก็เป็นได้ แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่คิดเช่นนั้นด้วยเช่นกัน ? หากอีกฝ่ายรู้และเตรียมการล่วงหน้า มันก็อาจทำให้แผนลอบโจมตีในครั้งนี้กลายเป็นการเดินเข้าถ้ำเสือดี ๆ นี่เอง !!
หลังจากคิดเรื่องนี้ จ้านอู่ฉางก็รู้สึกว่าซุ่มโจมตีพวกเฟิงในเวลากลางคืนมีความเสี่ยงสูงเกินไป และมันก็คงจะเป็นการดีกว่าที่จะปกป้องเมืองให้ดี !
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่สามารถที่จะแพ้ได้อีกแล้ว เนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันยิ่ง …ในท้ายที่สุดจ้านอู่ฉางก็ยังคงไม่พูดคำใดออกไป เขาเพียงแสดงท่าทีนิ่งเฉยเพื่อปฏิเสธข้อเสนอแนะของฮ่าวจ้าว
….คืนนี้กองทัพเทียนหยวนไม่ได้โจมตีเมืองและไม่ได้ทำการคุกคามใด ๆ ทั้งสิ้น
และเมื่อยามเช้ามาถึง มันก็ใช้เวลาไม่นานนักเพื่อตั้งทัพที่มีกำลังทหาร 2 หมื่นนายให้เป็นระเบียบ จากนั้นจึงเป็นชายร่างยักษ์ที่ถือค้อนเดินออกมาข้างหน้า ก่อนที่เขาจะหันไปทางเมืองจางหยู่ และร้องตะโกนเสียงดัง “ไอ้พวกกบฏ ! ได้ยินใช่ไหม !? ข้าจ้านหูอยู่นี่แล้ว ! ถ้าพวกเจ้าแน่จริงก็ออกมาสู้กับข้าซิวะ !”