บทที่ 444
อันที่จริงไม่ใช่แค่ซ่งเทียน เพราะแม้แต่จ้านอู่ฉางเองก็มองไม่เห็นเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงหันไปมองจ้านอู่ตี้ “จ้านอู่ตี้ ?”
ผู้เป็นน้องเข้าใจคำพูดนี้ทันที ดังนั้นจึงกวาดสายตามองด้วยนัยน์ตาที่เสริมด้วยพลังยุทธ์ และเมื่อเห็นเข้ากับกองขบวนเสบียงที่กำลังถูกเคลื่อนย้ายในค่ายของพวกเทียนหยวน เขาก็จึงหันไปพยักหน้าให้กับจ้านอู่ฉางเพื่อยืนยันความถูกต้อง
หลังจากได้รับการยืนยัน จ้านอู่ฉางก็พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก “สวรรค์เป็นใจให้ข้าแล้ว !”
ในเวลานี้ซ่งเทียนดูจะเริ่มมีกำลังใจขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้พูดขึ้น “ท่านจ้านอู่ฉาง ท่านจะดำเนินการคืนนี้เลยหรือไม่ ?”
จ้านอู่ฉางยิ้มให้อย่างมั่นใจ “เรามาพูดคุยตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนเถอะฝ่าบาท”
ซ่งเทียนพยักหน้าให้ ก่อนจะเดินตามกลับไปยังจวนผู้ว่า
เมื่อพวกเขาเข้าไปในห้องโถงหลัก จ้านอู่ฉางก็มองผู้คนโดยรอบแล้วพูด “จากที่ข้าเห็นมา ดูเหมือนว่ากู่เฟิงจะหลอกพวกเทียนหยวนได้แล้ว พวกมันกำลังขึ้นเหนือไปลอบโจมตีพวกเราภายในคืนนี้แน่นอน !”
ระหว่างที่พูดเขาก็หันไปบอกกับซ่งเทียน “ข้าหวังว่าท่านจะป้องกันทางเหนือของเมืองเอาไว้ได้สำเร็จ !”
ซ่งเทียนตัวสั่น เขาไม่รู้ทั้งการนำทหารเข้าสู้หรือแม้แต่การใช้พลังปราณเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเอาอะไรไปใช้ป้องกัน ?
เมื่อเห็นแบบนั้นจ้านอู่ฉางก็ถอนหายใจ “ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลไป มันไม่ยากขนาดนั้นหรอก เพียงแค่ท่านออกไปปรากฏตัวในสนามรบแค่นี้พวกทหารก็จะมีขวัญกำลังใจมากพอที่จะยันพวกเทียนหยวนเอาไว้แล้ว แล้วถ้าพวกเราลอบเข้าไปสร้างความวุ่นวายได้สำเร็จ ทุกอย่างก็จะจบลง !!”
คำพูดทั้งหมดฟังดูง่าย แต่มันก็ดูยากในเวลาเดียวกัน ซ่งเทียนที่เห็นทุกคนจ้องมองมาจึงได้แต่กลืนน้ำลาย ด้วยเขาไม่กล้าที่จะออกไปหน้าสนามรบอยู่แล้ว แต่ในนาทีนี้ที่ทุกคนจ้องมองมา มันก็ทำให้เขามิอาจปฏิเสธได้ !!
“ท่านจ้านอู่ฉางพูดถูก ข้าจะออกไปร่วมรบกับพวกทหารด้วย !”
อย่างน้อยชายแก่ที่ปล้นบัลลังก์มาก็ยังมีความสามารถที่จะนำทัพอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
แท้ที่จริงแล้ว แม้ภายนอกซ่งเทียนจะยิ้มแย้ม ทว่าในใจของเขากลับหดหู่ไปหมดแล้ว
หลังจ้านอู่ฉางอธิบายแผนทั้งหมดไป เขาก็พลันถามขึ้น “พวกเราจะนำกำลังทหาร 2 หมื่นนายเข้าโจมตีพวกมัน แม่ทัพท่านใดอยากจะเป็นคนนำทัพ ?”
พวกแม่ทัพทั้งหลายต่างก็เสนอตัวกันอย่างเร่งรีบ ทำให้จ้านอู่ฉางรู้สึกผิดคาด ด้วยเขาไม่คิดเลยว่ากำลังขวัญใจของพวกทหารจะมากมายแบบนี้ !
ทว่าภาพตรงหน้ากลับทำให้จ้านอู่ตี้ขมวดคิ้ว ด้วยนี่เป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ต่อสู้ ! และหากทัพหลักของพวกเทียนหยวนอยู่ทางเหนือจริง ๆ งั้นแล้วเขาก็มีโอกาสชนะแน่ ๆ!
ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจแล้วพูดออกมา “ท่านพี่ แม้ว่าพวกเทียนหยวนจะใช้ทหาร 4 หมื่นนาย ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบุกตีเข้ามาในเมืองเราได้ แต่การลอบโจมตีจะต้องห้ามให้เกิดความผิดพลาดเท่านั้น ดังนั้นให้ข้าไปเถอะ !”
จ้านอู่ฉางรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ทว่าการให้น้องชายของเขาเข้าร่วมมันจะช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จได้สูงลิบยิ่ง ดังนั้นขอเสนอนี้จึงยากที่จะปฏิเสธ ..แต่ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายรู้ตัวเล่า ?
เขากำหมัดแล้วมองไปยังน้องของตัวเอง “เราจะต้องชนะเท่านั้น เจ้าจะต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้ ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด ไม่งั้นพวกเราจะตายกันหมด !!”
ซ่งเทียนมองทั้งสองพี่น้องอยู่นาน ขณะเดียวกับภายในหัวของเขาก็ครุ่นคิดไปด้วย
ท้ายที่สุดแล้วจ้านอู่ฉางก็พยักหน้าให้ก่อนพูด “จ้านอู่ตี้ เจ้าจะต้องนำทัพทหารในคืนนี้ ดังนั้นจงระวังตัวด้วย !” เขาจ้องมองจ้านอู่ตี้ด้วยสายตาจริงจัง …มันเป็นสายตาที่เก็บประโยคคำพูดเอาไว้มากมาย
จ้านอู่ตี้เข้าใจความหมายของมันอยู่แล้ว เขายืนขึ้นแล้วพูด “พี่ใหญ่ ตราบเท่าที่ถังหยินไม่อยู่ในค่าย ไม่ว่าศึกไหน ๆ ก็ย่อมสำเร็จได้ !!”
จ้านอู่ฉางพยักหน้าให้ ก่อนที่เขาจะเดินไปหาฮ่าวจ้าวกับเจี๋ยนฟาน “คืนนี้ระหว่างที่พวกเทียนหยวนกำลังยุ่งอยู่กับทางเหนือ พวกเจ้าจะต้องนำทหารออกไปปะทะกับพวกมันให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตามเจ้าต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ เข้าใจไหม ?”
ฮ่าวจ้าวกับเจี๋ยนฟานรับคำแล้วประกบมือให้
หลังอธิบายทุกอย่างหมดสิ้น จ้านอู่ฉางก็หลับตาด้วยหวังว่าการศึกจะเป็นไปได้ด้วยดี
พวกเทียนหยวนกำลังขนเสบียงทั้งหมดขึ้นไปยังทางเหนือ ซึ่งมันก็มีอยู่ 2 เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้ หนึ่งคือเอาไว้หลอกคนอื่นว่ากำลังเดินทัพขึ้นเหนือ สองคือเพื่อเอาไปให้พวกทหารได้กินกันอย่างเต็มที่ด้วยมันสามารถเพิ่มขวัญและกำลังใจได้ !
อันที่จริงการกระทำนี้ไม่ใช่แค่เขาสามารถหลอกซ่งเทียนได้เท่านั้น แต่ยังหลอกพวกคนอื่นได้ด้วย ทว่ากับกู่เฟิงนั้น ชายวัยกลางคนผู้นี้กลับเกิดความสงสัยขึ้นมา ว่าการขนย้ายเสบียงแบบนี้มันจะดีหรือ ?
แต่ถึงกระนั้นอีกฝ่ายก็ดูจะดีใจมากที่สามารถทำภารกิจให้สำเร็จได้ ก่อนกู่เฟิงจะคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะมองหาทางหนีให้กับตัวเอง !!
ตั้งแต่รุ่งสางจนถึงกลางคืน กู่เฟิงรู้สึกว่ากองทัพทหารในค่ายส่วนกลางหายไปมากมาย และเพื่อให้มั่นใจ เขาจึงคิดจะเข้าไปหาถังหยินเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง
ว่าแล้วกู่เฟิงก็พลันลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
อย่างไรก็ตาม ตอนที่เขาเดินออกมาก็ได้มีคนสิบกว่าคนเดินเข้ามาหา ซึ่งคนพวกนี้นั้น พวกเขาต่างจากพวกเฟิงตรงที่ไม่ใส่เกราะและแต่งกายในชุดสีดำพร้อมกับผ้าคลุมสีแดงและพกดาบไว้ที่เอว
ทั้งสิบคนเดินมาหยุดกู่เฟิงเอาไว้ด้วยคำพูด “ท่านคือแม่ทัพกู่ ?”
“ข้าเอง แล้วเจ้าคือ…”
“หน่วยลับของนายท่านถังหยิน !” หนึ่งในผู้นำกลุ่มคนตอบ เขาคือหนึ่งในคนที่ถวายความภักดีต่อถังหยินพร้อมกับพวกเฉิงจิน
ถึงแม้กู่เฟิงจะไม่เคยเจอพวกหน่วยลับนี้มาก่อน แต่เขาก็พอจะรู้จักชื่อพวกนี้มาบ้าง ว่าหน่วยลับที่ว่าคือกลุ่มทหารที่มีชื่อเสียงของเทียนหยวน ด้วยพวกเขามักปฏิบัติงานอย่างเลือดเย็น เฉียบขาด และคอยตรวจสอบทุกอย่างในกองทัพ !!
แต่ทำไมกันเล่า ? ทำไมหน่วยลับของถังหยินถึงเข้าหาตนกัน ? ภายในจิตใจของกู่เฟิงหวั่นไหวไปแล้ว ณ ตอนนี้ ทว่าเขาก็แสร้งทำเป็นสงบนิ่งเข้าไว้ “พวกเจ้านี่เอง มีอะไรหรือไม่ ?”
เจียฉีไม่แสดงสีหน้าอะไรทั้งนั้น ก่อนจะพูด “พวกเรามาเพื่อจับตาดูท่านกู่ เพราะคืนนี้จะมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ เราจึงต้องขอให้ท่านพักผ่อนอยู่ในนี้ก่อนจะถึงการรบ !!”
หลังพูดจบพวกเขาก็เดินเข้าไปใกล้กู่เฟิง…