บทที่ 460
อู่เหมยต้องการแก้แค้นให้ถังหยิน ดังนั้นเมื่อนางเห็นชุยหยุนเจียนพลังและเลือดในกายก็พลันพลุ่งพล่าน ตรงกันข้ามกับชุยหยุนเจียน ที่ดวงตาของเขากลับฉายแวว ด้วยในตอนนั้นเพื่อช่วยนาง ถังหยินถึงกับกล้าที่จะบุกเข้าไปในวังเพียงลำพัง แสดงให้เห็นว่าอู่เหมยมีความสำคัญเพียงใดในหัวใจของถังหยิน และถ้าสามารถจับตัวนางได้ ก็คงสามารถใช้ในการต่อรองกับถังหยินได้แน่ !!
เขาพุ่งเข้าหาอู่เหมยในทันทีตามแรงกระตุ้น
…แทนที่จะกลัว ในทางกลับกันเลย อู่เหมยหาได้ไม่กลัวเลย นางยกมือขึ้นอย่างไม่เร่งรีบและตะโกนเสียงดัง “ยิงธนู !”
ตามคำสั่งของนาง ทหารนับพันที่อยู่เบื้องหลังทุกคนต่างก็ง้างคันธนูและยิ่งลูกศรออกไปในฉับพลัน
ฟุ่บ ! ฟุ่บ ! ฟุ่บ !
ลูกศรพุ่งผ่านอากาศ ชุยหยุนเจียนสะบัดดาบปราณของเขาปัดป้องลูกศรที่เข้ามา แต่ด้วยกำลังเพียงคนเดียว มันก็ไม่อาจป้องกันลูกศรจำนวนมากได้ และเมื่อเห็นว่าร่างกายของชุยหยุนเจียนถูกโจมตีหลายครั้งจนต้องถอยกลับไป อู่เหมยก็พลันหัวเราะออกมาดัง ๆ และพูดอย่างภาคภูมิใจ “ถ้าเจ้ายอมแพ้ ข้าอาจไว้ชีวิตเจ้าก็เป็นได้ !!”
อู่เหมยไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาจากตระกูลขุนนาง นางเคยเป็นผู้บัญชากองทัพมาก่อน ดังนั้นจึงถือได้ว่านางเป็นแม่ทัพที่มีประสบการณ์ !!
ในความคิดของนาง ความแข็งแกร่งของตัวบุคคลมีจำกัด เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะฝ่าวงล้อมของผู้คนนับพันด้วยตัวเองคนเดียวได้ !
อย่างไรก็ตาม หญิงสาวประเมินพลังของชุยหยุนเจียนต่ำไป โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตและความตายเช่นนี้
เมื่อธนูถูกยิงอย่างต่อเนื่อง ชุยหยุนเจียนพลันกัดฟันของเขาแน่นและทำการพุ่งไปข้างหน้า ก่อนที่จะใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของตัวเองออกมา !!
ดาบปราณในมือของเขาเปล่งประกายแสงนับพัน และในขณะที่เขาโบกสะบัดมัน พลังปราณนับไม่ถ้วนก็ได้ก่อตัวขึ้นและร่ายรำไปในอากาศก่อให้เกิดกำแพงคมดาบที่มองไม่เห็น และเมื่อลูกศรพุ่งออกมา มันก็ได้ถูกบดขยี้ไป ก่อนชุยหยุนเจียนจะพุ่งไปข้างหน้าและใช้ทักษะเดิมอีกครั้งเพื่อปัดป้องลูกธนู
ลูกศรพุ่งปะทะกับปราณคลั่งอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาหดสั้นลง เช่นเดียวกับลูกศรทั้งหลายที่ไม่เข้าเป้าอีกเลยหลังจากนั้น….
หลังจากใช้ออกทักษะนั้นปัดป้องธนูเป็นครั้งที่ 3 ชุยหยุนเจียนก็เริ่มเกิดอาการเหนื่อยล้า เช่นเดียวกับปราณในร่างกายของเขาตอนนี้ที่แทบจะเหือดแห้งไปทั้งหมดแล้ว
ในเวลานี้อู่เหมยเริ่มตระหนักได้แล้วว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามา นางก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัวและดึงอู่อิงที่อยู่ข้าง ๆ ตามไปด้วย
แต่มันก็สายเกินไปที่จะทำเช่นนั้นในตอนนี้ !!! ดาบปราณในมือของชุยหยุนเจียนเปล่งประกายด้วยแสงพราว ก่อนตามด้วยการเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึง !!
ใบดาบปราณในมือชุยหยุนเจียนขยายออกกว้าง สร้างแรงผลัก และทำให้ถึงแม้เขาจะอยู่ห่างจากอู่เหมยหลายจั้ง แต่ดาบปราณที่ยืดยาวออกมาราวกับแส้สีขาวก็ได้ลอยเข้าหาอู่เหมยในชั่วพริบตาเดียว !!
อู่เหมยไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน นางได้แต่ตกตะลึงกับฉากที่คาดไม่ถึงต่อหน้า และกว่าจะตอบสนองได้ทัน ดาบนั่นก็ได้เคลื่อนไหวราวกับอสรพิษอยู่ตรงหน้านางแล้ว !!!
ฉัวะ !
ดาบที่แหลมคมไม่ได้แทงทะลุร่างของอู่เหมยแต่กลับเล็มหญ้ารอดผ่านเอวของนาง จากนั้นจึงหันกลับมาหมุนรอบเอวเรียวของอู่เหมยอย่างรวดเร็วเป็นวงกลม หลังจากนั้นชุยหยุนเจียนก็พลันดึงแขนกลับมาและสลายพลังปราณบนดาบไป
กรี๊ดดดด !
อู่เหมยส่งเสียงกรีดร้องโดยสัญชาตญาณ และเมื่อรู้ตัวอีกที มันก็กลายเป็นว่าตอนนี้ฝ่ามือของชุยหยุนเจียนได้จับเข้าไปที่ลำคอสีชมพูและเรียบเนียนของนางเรียบแล้ว !! เช่นเดียวกับดาบปราณในมืออีกข้างของเขาที่กดลงไปแถวลำคอของหญิงสาว “อย่าขยับ ! ถ้าไม่อยากให้นางตาย !”
“ถ้าไม่อยากให้นางตายก็ถอยไปเสีย !”
ทหารเฟิงที่ตกใจเรียกสติได้ทีละคน ก่อนที่ทั้งค่ายเข้าสู่ความโกลาหล และแม้ว่ามันจะดูช้า หากแต่มันก็เร็วมาก !!! ซุยเฟิงเจียนสามารถใช้ดาบปราณจับตัวอู่เหมยได้ในพริบตา ไม่ต้องพูดถึงพวกทหารเลย แม้แต่อู่อิงที่อยู่ข้าง ๆ นางยังไม่มีเวลาช่วยด้วยซ้ำ
“พี่ !!” เมื่ออู่อิงเห็นว่าพี่สาวตกอยู่ในมือของศัตรู หญิงสาวก็ถึงกับเกือบจะเสียสติไปในพลัน นางก้าวไปข้างหน้าอย่างลืมตัว ทำให้สายตาของชุยหยุนเจียนหันมาจ้องมองยังร่างของนาง “ถ้าเข้ามาอีกก้าว ! นางได้ตายแน่ !”
ด้วยประโยคนั้น อู่อิงพลันรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที นางส่ายหัวซ้ำ ๆ แล้วถอยไปข้างหลังอย่างรีบร้อน โดยในขณะเดียวกันก็กรีดร้องออกมาว่า “อย่านะ !”
“หึหึ !” ชุยหยุนเจียนหัวเราะเมื่อมองไปที่ปฏิกิริยาของกองทัพเฟิงที่เหลือ ด้วยเขารู้แล้วว่าตนเองทำถูกต้อง การมีอู่เหมยอยู่ในมือเขาสามารถใช้ข่มขู่กองทัพเฟิงได้อย่างแน่นอน !!
ว่าแล้วเขาก็หัวเราะเยาะสองครั้งก่อนพูดแผ่วเบาว่า “ถอยออกไปซะ แล้วอยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่อยากที่จะเก็บศพนางไปให้นายของพวกเจ้า ! ไป จงหลีกทางไป !”
ถึงอู่อิงจะกังวลมาก แต่นางก็ไม่ได้โง่ ด้วยถ้าหากนางปล่อยชุยหยุนเจียนไปจริง ๆ มีหรือที่พี่สาวของนางจะปลอดภัย !! ดังนั้นอู่อิงจึงยืนนิ่งไม่ขยับ และเมื่องนางนิ่งเฉย กองทัพเฟิงที่อยู่เบื้องหลังก็จึงนิ่งเฉยด้วย …ทุกคนต่างก็จ้องมองมาเพื่อรอให้นางตัดสินใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง อู่อิงพลันกัดฟันแน่นและพูดว่า “ปล่อยนางซะ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป”
อู่อิงไม่ไว้ใจชุยหยุนเจียน ซึ่งก็แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมเป็นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน และในเมื่อตอนนี้มีอู่เหมยเป็นหลักประกันแล้ว ดังนั้นมีหรือที่เขาจะนางไปง่าย ๆ!! “คิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นเหรอ ? ถอยไปซะ !”
“ไม่ ! เจ้านั่นแหละปล่อยนางก่อน !”
เขาไม่เคยคิดเลยว่าสาวน้อยคนนี้จะรับมือยากขนาดนี้ ดวงตาของชุยหยุนเจียนเผยให้เห็นแสงที่ดุร้ายและพูดอย่างดุเดือด “หรือว่า…อยากที่จะให้นางตายกัน ?!”
อู่อิงมองไปที่อู่เหมย ก่อนนางกัดฟันแน่นจนแทบหักและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยว่า “ข้าจะปล่อยให้เจ้าออกไป… แต่ก่อนหน้านั้น… จงข้ามศพข้าไปก่อน !”
ยัยตัวแสบนี่ ! ชุยหยุนเจียนตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ข้าได้พูดไปแล้ว ตราบใดที่เจ้าปล่อยให้ข้าผ่านค่ายไป ข้าจะไม่ทำร้ายนางแน่นอน !” ในขณะที่พูด เขาก็ได้เพิ่มแรงจับบนลำคอของอู่เหมยโดยไม่รู้ตัว ทำให้ใบหน้าซีดเซียวของคนหลังเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที
หัวใจของอู่อิงสั่นสะท้าน แต่ท่าทีของนางกลับยังคงมั่นคง ! นางตัดสินใจที่จะให้ชุยหยุนเจียนปล่อยตัวประกันก่อน
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายหยุดนิ่ง เนตรเวหาภายในค่ายกองทัพเฟิงและเครือข่ายใยพิภพก็ไม่รอช้า พวกเขาเร่งส่งข้อความไปยังหลีเทียนและอัยเจียในทันที
เมื่อได้ยินว่าอู่เหมยถูกจับในค่าย การแสดงออกของหลีเทียนและอัยเจียก็พลันเปลี่ยนไป เพราะทั้งสองต่างก็เข้าใจดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างถังหยินกับอู่เหมย !! และหากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ถังหยินจะเป็นยังไงพวกเขาก็จินตนาการไม่ออกเลย !!
พวกเขาสองคนไม่กล้าที่จะล่าช้าอีกต่อไป พากันรีบไปที่ด้านหน้าของการต่อสู้เพื่อรายงานข่าวนี้ให้ถังหยินทราบในทันที !
ถังหยินกำลังอยู่ในสนามรบ และเพราะพวกเปิงหมดขวัญกำลังที่จะสู้ต่อแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จัดการคนพวกนี้ และตราบเท่าที่สามารถหาสถานที่ที่มีหมอกสีขาวเยอะ ๆ เจอ นั่นก็คือที่ ๆ ถังหยินอยู่ !!
“นายท่าน !”
หลีเทียนและอัยเจียพากันตะโกนและไล่ตามถังหยินจากด้านหลัง ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังดูดกลืนพลังชีวิตที่ลอยอยู่ในอากาศหันศีรษะไปมอง ก่อนที่เขาจะต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นคนทั้งสองที่กำลังวิ่งเข้ามาหา
เมื่อทั้งสองเข้าใกล้ ถังหยินก็ถามว่า “มีอะไร ?”
“นายท่านขอรับ” หลีเทียนกำลังจะเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่าถังหยินยังคงมีเปลวไฟแห่งความมืดลุกอยู่ตามร่างกาย เขาจึงรีบถอยทันที ด้วยเปลวไฟนั่นอาจไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรูได้ และสิ่งที่มันทำเพียงอย่างเดียวก็การเผาทำลาย !!
ถังหยินขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็สลายเปลวไฟบนร่างกายไปและถามอีกครั้งว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
“นายท่าน ที่ค่ายของเราเกิดเรื่องแล้วขอรับ !” หลีเทียนดูเหมือนจะลังเล ด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในตอนนี้ จึงเป็นอัยเจียที่พูดด้วยท่าทีกระวนกระวายว่า “ชุยหยุนเจียนบุกค่ายของเรา เขาจับท่านอู่เหมยไว้เป็นตัวประกัน ตอนนี้ท่านอู่อิงกำลังยื้อเวลาอยู่ นายท่าน เราควรจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ?!”
“!” เมื่อถังหยินได้ยินเช่นนี้ ร่างกายของเขาพลันสั่นสะท้าน ด้วยคิดไม่ถึง …ชุยหยุนเจียนบุกเข้าไปในค่ายของพวกเขาได้อย่างไรกัน ? แล้วเหตุผลที่อีกฝ่ายจับอู่เหมยไว้เล่า ?
การที่เขาให้ทั้งสองอยู่แต่ในค่าย ก็เป็นเพราะชายหนุ่มกลัวว่าทั้งสองสาวจะตกอยู่ในอันตรายระหว่างสู้รบ แล้วเหตุใดกัน ทำไมสถานการณ์มันดันเปลี่ยนไปขนาดนี้ได้ ?
เขาเตะทรายบนพื้นอย่างหัวเสียและตะโกนเสียงดัง “หยวนอู่ ! หยวนเปียว !”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของถังหยิน ทั้งสองที่ต่อสู้อยู่ใกล้ ๆ พลันลามือจากศัตรูทันที ก่อนจะรีบถอยกลับไปที่ด้านข้างของถังหยิน “นายท่าน ?”
“ข้าจะนำทหารกลับไปที่ค่าย พวกเจ้าอยู่ที่นี่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย !” โดยไม่รอให้รับปาก ถังหยินพลันมุ่งหน้ากลับไปที่ค่ายในทันที
ทั้งสองพี่น้องจึงได้แต่มองหน้ากัน และแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าทำไมถังหยินจึงรู้สึกกังวลจนต้องกลับไปที่ค่าย แต่พวกเขาก็มีลางสังหรณ์ว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน พวกเขาสองคนไม่กล้าถามต่อและตะโกนใส่ทหารที่อยู่รอบ ๆ แทน “ไล่ตามศัตรูต่อไป !”
“รับทราบ !!”
ถังหยินถอนตัวออกจากสนามรบ แต่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป กองทัพปิงหยวนที่นำโดยสองพี่น้องฉางกวนพวกเขายังคงเดินหน้าทำการรบต่อไป