บทที่ 465
แม้แต่พวกทหารเปิงในเมืองจางหยูเองก็ไม่รู้ว่าซ่งเทียนและเสี่ยวชางซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ดังนั้นไม่ว่าจะถูกสอบสวนหนักแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ จนถึงเช้าตรู่ของวันถัดมา พวกเฟิงที่ทำการค้นหาไปทั่วเมืองก็ยังคงไม่พบที่อยู่ของซ่งเทียนและเสี่ยวชาง
เมื่อข่าวไปถึงถังหยิน ชายหนุ่มพลันสั่งให้มูฉิงและจีหยิงค้นหาต่อไป และหากยังไม่ได้ความคืบหน้าใด ก็ห้ามกลับมา !!
ว่าแล้วมูฉิงกับจีหยิงก็ไม่รอช้า พวกเขาเริ่มดำเนินการทันที โดยมูฉิงนั้นไม่ได้สั่งให้ค้นหาต่อไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่เขากลับให้กองทัพทั้งหมดพักผ่อนชั่วคราว ในขณะที่ออกไปพบหลีเทียนและขอความเห็นจากอีกฝ่าย ซึ่งหลีเทียนก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินจุดประสงค์ของการมาเยือนของมูฉิง ด้วยไม่ว่าจะส่งสายลับไปมาเพียงใด ผลลัพธ์ก็คือการไม่พบเบาะแสใด ๆ อยู่ดี
เขาจึงพูดแผ่วเบาออกมาว่า “เมืองจางหยูมีประชากรนับแสน จึงยากที่จะบอกได้ว่ามีอุโมงค์หรือห้องลับกี่แห่งที่ซ่อนอยู่ นอกจากนี้ทหารส่วนใหญ่ของเราไม่เคยเห็นซ่งเทียนมาก่อน ถ้าเขาปลอมตัวเราอาจจะจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ” จริงดั่งว่า ! คำพูดของหลีเทียนถือว่าตรงจุดยิ่ง ! และหลังจากฟังการวิเคราะห์ของหลีเทียนแล้ว มูฉิงก็พลันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนที่จะถามไปว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านคิดว่าอย่างไรดี ?”
หลีเทียนครุ่นคิดสักครู่แล้วกล่าวว่า “เมืองจางหยูต้องอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกต่อไป ไม่ว่าจะมืดหรือกลางวันผู้อยู่อาศัยในเมืองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอก จากนั้นให้นำกองทหารเข้าตรวจจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่ง เพื่อค้นหาอย่างละเอียด และหลังจากตรวจสอบชิ้นส่วนแล้ว จึงทำการปิดผนึกพื้นที่นั้นและตรวจสอบให้แน่ใจว่าซ่งเทียนอยู่นอกขอบเขต …เพียงเท่านี้เราก็สามารถหามันเจอได้แน่แล้ว !”
มูฉิงพยักหน้าขณะที่รับฟัง ซึ่งหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “แม้ว่าความคิดนี้จะดี แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร …เราต้องการความคืบหน้าก่อนตะวันตกดินค่ำวันนี้ !!”
หลีเทียนถอนหายใจและพูดอย่างหมดหนทาง “ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น มันเป็นไปไม่ได้” จากมุมมองของข้า ซ่งเทียนอาจปลอมตัวเป็นสามัญชนหรือซ่อนตัวอยู่ในที่ห่างไกล คงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาอีกฝ่ายพบ
“อย่างนั้นเหรอ…” มูฉิงตอบหลังจากครุ่นคิดสักพัก ก่อนที่เขาจะกล่างขอบคุณและกลับไปเล่าให้จีหยิงฟังเกี่ยวกับวิธีการของหลีเทียน…
หลังได้ยินเรื่องทั้งหมด จีหยิงพลันหัวเราะ ปากกล่าวชมออกมา “นี่เป็นความคิดที่ดี !” คำพูดนั้นทำให้มูฉิงยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “เป็นเรื่องดี แต่การค้นหาเช่นนั้นย่อมต้องใช้เวลานานเช่นกัน”
เมื่อได้ยินคำนั้น จีหยิงกลับยิ้มและพูดว่า “นั่นง่ายมาก ! เราสามารถแบ่งเมืองออกเป็นหลายส่วนตามวิธีการของท่านแม่ทัพหลี จากนั้นก็ส่งกองกำลังออกไปสองสามกอง เพื่อแยกกันตรวจสอบ”
“นั่นไม่ได้ !” มูฉิงส่ายหัว พูดเสริมว่า “ทหารส่วนใหญ่ของเราไม่เคยเห็นซ่งเทียน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าอีกฝ่ายปลอมตัว ?”
“ฮิฮิ !” จีหยิงยิ้มแล้วจึงพูดว่า “เป็นเรื่องจริงที่คนของท่านส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นซ่งเทียน แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเคยเห็นเขามาก่อน ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง ! ดังนั้นถ้าหากนำพวกเขาไปด้วย มันจะต้องอุดปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน !”
เมื่อฟังแบบนั้น มูฉิงก็จึงเผยรอยยิ้มออกมา “ดี ! ตกลงทำตามนี้ !”
หลังจากตกลงกันเสร็จ จีหยิงก็ได้โบกมือของเขา ขอให้ทุกคนนำแผนที่เมืองจางหยูมา จากนั้นจึงทำการวาดภาพลงไป เพื่อแบ่งเมืองออกเป็น 12 ส่วน โดยเขาและมู่ชิงจะแบ่งกันไปคนละ 6 ส่วน นอกจากนี้เขายังให้รองแม่ทัพของตนไปกับมูฉิง ซึ่งในทางกลับกัน มูฉิงก็ได้มอบทองคำสองหมื่นชั่งให้กับเขา เพื่อชดเชยการขาดแคลนกำลังคนในกองทัพอินทรีสวรรค์
หลังจากคุยกันเสร็จ ทั้งสองคนก็จึงส่งลูกน้องออกไปในทันที โดยพวกเขานั้นเริ่มจากการแจ้งให้พลเมืองทราบโดยทั่วกัน ว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ก็ต้องห้ามไม่ให้ออกจากที่พักอาศัย และถ้าฝ่าฝืนคำสั่ง คนผู้นั้นจะถูกสังหารโดยปราศจากความเมตตา !!
ในเวลานี้ท้องฟ้าได้สว่างขึ้นแล้ว แต่ภายใต้คำสั่งนั้น ท้องถนนพลันกลับกลายเป็นว่างเปล่า …ราวกับเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว
หลังจากเห็นเช่นนั้น กองทัพปิงหยวนและกองทัพอินทรีสวรรค์พลันเริ่มทำตามแผนทันที โดยทางด้านของมูฉิงนั้น เขาได้สั่งให้ทุกคนเข้าค้นหาพื้นที่ที่กำหนด ด้วยการแยกผู้ใต้บังคับบัญชาออกเป็น 3 ทีมใหญ่ ที่มีตัวเขาเองและหัวหน้ากองสองคนเป็นผู้นำทีม ส่วนรองแม่ทัพสามคนที่ยืมมาจากจีหยิง พวกเขาเหล่านั้นก็ได้แยกไปประจำการกับทั้ง 3 ทีมที่ว่านั่น
พื้นที่ที่มูฉิงต้องค้นหานั้นไม่ใหญ่มากนัก แต่มีผู้อยู่อาศัยหลายพันคน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย !! มูฉิงได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างลับ ๆ ก่อนที่จะตั้งสติและเริ่มการค้นหาซ่งเทียนทีละบ้านไล่ไปเรื่อย ๆ
รองแม่ทัพที่เขาพามาด้วยเรียกว่าเฮอเปิง นับตั้งแต่ที่คนผู้นี้เข้าร่วมกองทัพ เฮอเปิงก็อยู่ภายใต้คำสั่งของจีหยิงและถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยที่เชื่อถือได้คนหนึ่ง ซึ่งมูฉิงก็ได้ถามเฮอเปิงขณะที่ทำการค้นหาว่าซ่งเทียนหน้าตาเป็นอย่างไร ด้วยแม้แต่มูฉิงเองก็ไม่เคยเห็นซ่งเทียนมาก่อนเช่นกัน
เฮอเปิงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี จึงได้แสยะยิ้มและกล่าวว่า “ซ่งเทียนมีใบหน้าขาวและมีเคราสีดำ เขาดูไม่อ้วน แต่ก็ไม่ได้ผอมเช่นกัน ทั้งยังมีความสูงเพียงปานกลางเท่านั้น” เมื่อมูฉิงได้ยินเช่นนี้ คิ้วของเขาพลันขมวดขึ้น
หลังจากเห็นเช่นนั้น เฮอเปิงจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะพูดว่า “ซ่งเทียนเป็นคนขี้ขลาด เขามักจะออกมาพร้อมกับองครักษ์นับไม่ถ้วน ข้าคิดว่า… ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ที่วิกฤตยิ่ง ตัวซ่งเทียนคงมีองครักษ์ส่วนตัวตามติดเป็นแน่ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พาคนมามากเกินไป แต่คนที่ติดตามมาก็ต้องล้วนแล้วแต่มีฝีมือเก่งกาจ !!” มูฉิงฟังคำพูดของเฮอเปิงอย่างเงียบ ๆ ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็พลันแวบขึ้นมาในใจ …ว่าถ้าซ่งเทียนมีชื่อเสียงในเรื่องความขี้ขลาด งั้นแล้วอีกฝ่ายก็คงมีองครักษ์อยู่เคียงข้างตลอด และเช่นนั้นแล้ว องครักษ์พวกนั้นจะต้องมีพลังปราณแกร่งกล้ามากเป็นแน่ !!!
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น มูฉิงก็พลันหยุดทันที เขาหันไปเรียกคนเดินสาร สั่งให้อีกฝ่ายไปบอกกับอีก 2 กลุ่ม ว่าให้ใช้ตาทิพย์ เพื่อค้นหาว่ามีผู้ใช้พลังปราณอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่ !!
ตาทิพย์เป็นทักษะการสนับสนุนขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับปราณสายแสง มันไม่ได้ใช้พลังปราณมากนัก แต่ถ้าปลดปล่อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ..มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนพลังปราณธรรมดาจะรับมือได้
มูฉิงและจีหยิงทำการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง พวกเขาค้นหาอย่างยากลำบากตลอดทั้งเช้า แต่ก็ยังไม่พบอะไร ก่อนที่ในช่วงบ่ายถังหยินจะไม่สามารถนั่งนิ่ง ๆ ในค่ายได้อีกต่อไป เขาเข้าไปในเมืองเพื่อตามหามูฉิงและร่วมคนหาไปกับอีกฝ่ายด้วยร้อนใจยิ่ง
การมาถึงของถังหยินไม่ได้ทำให้มูฉิงโชคดีขึ้นแต่อย่างใด แม้จะถึงช่วงเวลาเกือบค่ำแล้ว พวกเขาก็ยังไม่พบเบาะแสของซ่งเทียนแม้แต่น้อย !!!!
ในขณะนั้นมูฉิงได้หยิบแผนที่ออกมาดูอย่างระมัดระวัง ด้วยตอนแรกคิดว่าทั้งหมดนี้คงสามารถทำได้ภายในวันเดียว หากแต่ในความเป็นจริง มันกลับยังถือว่าห่างไกลนัก
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว พวกแม่ทัพกับทหารจึงต้องจุดคบเพลิงขึ้น และถึงแม้พวกแม่ทัพจะทนพอทนไหว แต่กับทหารระดับล่างทั้งหลาย พวกเขาต่างเหนื่อยล้าจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ด้วยพวกเขาไม่ได้นอนมาสองวันหนึ่งคืนแล้ว เพราะต้องต่อสู้ ทั้งยังไม่ได้กิน ไม่ได้ดื่มเลย ทำให้ทุกคนดูกระสับกระส่ายราวกับจะล้มทั้งยืนได้ตลอดเวลา
ถังหยินดูจะเข้าใจถึงความยากลำบากที่มูฉิงและจีหยิงกำลังเผชิญอยู่ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าทั้งสองคนไร้ความสามารถ แต่มันเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะหาคนไม่กี่คนจากในเมืองที่กว้างใหญ่ ดังนั้นชายหนุ่มจึงหันหน้าไปมองมูฉิง ก่อนร้องถามอย่างเป็นห่วง “มูฉิง นี่เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง ?”
คำถามนี้ทำเอามูฉิงตกใจในตอนแรก แต่แล้วก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ยัง ขอรับ”
“อย่างนั้นเหรอ !” ถังหยินพยักหน้าและเดินออกจากตรอก เขายืนอยู่บนถนนใหญ่เพื่อมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเห็นเข้ากับร้านอาหารเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกล “บังเอิญเชียว ข้าเองก็ยังไม่ได้กินเช่นกัน งั้นเราไปกินด้วยกันดีหรือไม่ ?”
“ขอรับ !” หลังจากที่มูฉิงตอบคำ เขาก็ไม่รอช้า รีบสั่งให้ทหารของตนพักผ่อน ก่อนจะให้กำลังทหารส่วนหนึ่งกลับไปยังค่าย และรวบรวมผู้คน เพื่อนำอาหารที่เตรียมไว้ทั้งหมดกลับมาที่เมืองแก่ทหารที่เหนื่อยล้า
หลังสั่งการตรงนี้เสร็จ ชายหนุ่มกับมูฉิงจึงเดินเข้าไปใกล้ร้านนั่น ทว่าด้วยเพราะกองทัพเฟิงได้ออกคำสั่งไปแล้ว ที่ว่าพวกชาวเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน ดังนั้นร้านอาหารเล็ก ๆ ตรงหน้าของพวกเขาจึงปิดสนิท ไม่เปิดทำการ
“นายท่าน ข้าว่าเราคงต้องกลับไปที่ค่ายแล้วล่ะขอรับ !” มูฉิงพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ