บทที่ 498
เมื่อฝ่ายของเหลียงซิงมาถึงที่พำนักของถังหยิน พวกเขาก็พบว่าไม่มีทหารยืนเฝ้าอยู่ที่นั่นแม้แต่คนเดียว ประตูที่พำนักถูกเปิดกว้างทิ้งไว้ และเมื่อพวกเขามองเข้าไปข้างในก็พบแต่ความว่างเปล่า
เป็นไปได้ไหมว่า แม่ทัพของกองทัพเทียนหยวนที่ได้ทราบข่าวจะพากันหนีไปแล้ว?
คนที่นำกองกำลังของเหลียงซิงมาในครั้งนี้ซุยหนาน เขาเป็นชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบกว่าปี มีรูปร่างธรรมดา ผิวซีดเซียวและดูขี้โรค แต่ในความเป็นจริงแล้ว พลังปราณของเขานั้นไม่ใช่อะไรที่จะประมาทได้เลย
เขาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “เข้าไปดูให้เรียบร้อย!”
ในขณะที่พูด เขาก็เป็นคนนำเดินไปที่ประตูของที่พำนัก ส่วนพวกทหารก็ตามหลังอย่างใกล้ชิด มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าอาจจะมีการดักซุ่มโจมตี
ขณะที่ซุยหนานและคนอื่น ๆ มาถึงประตูที่พำนักของถังหยิน พวกเขาพลันได้ยินเสียงฝีเท้าจากข้างใน ก่อนจะเป็นเสียงเปิดประตูตามมา นั่นทำให้ทุกคนอดตกใจเงยหน้าขึ้นมองผู้มาไม่ได้ พวกเขาเห็นชายคนหนึ่ง เดินออกมาจากห้องโถง ชายคนนี้มีรูปร่างสูงใหญ่และดูแข็งแรงองอาจ ใบหน้าของอีกฝ่ายเป็นสีเข้ม คิ้วหนา ดวงตาเรียวรี ดั้งจมูกโด่งเป็นสัน มุมปากดูเย็นชา สีหน้ายามนี้แม้บึ้งตึงแต่ความเย่อหยิ่งกลับไม่จางหาย บนตัวสวมเกราะหนา พร้อมกับเสื้อคลุมสีแดงเลือด เขาเดินเข้ามาหาผู้บุกรุกอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อทุกสายตาได้เห็นคนผู้นี้ ก็รู้แล้วว่าเขาหาใช่คนธรรมดาไม่ ทั้งกองทัพเทียนหยวนมีเพียงผู้เดียวที่มีลักษณะเช่นนี้ นั่นก็คือฉางกวง หยวนยู่!
เขาเดินออกจากห้องโถง และค่อย ๆ ปิดประตูตามหลัง ใบหน้าดูไม่แปลกใจกับพวกที่มายืนแออัดอยู่รอบทางเข้า ราวกับรู้อยู่แล้วว่าคนพวกนี้จะมาอย่างไรอย่างนั้น ฉางกวง หยวนยู่โบกมือให้คนตรงหน้าอย่างเป็นกันเอง และพูดพร้อมกับขมวดคิ้วว่า “พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นท่าทางสงบนิ่งของเขา เหล่าบ่าวรับใช้ในบ้านต่างก็หันมองหน้ากัน แต่ยังคงยืนอยู่โดยไม่ขยับกายจากไป เมื่อพวกเขาไม่ขยับ ฉางกวง หยวนยู่ก็ไม่ได้นำพากับพฤติกรรมนั้นแต่อย่างใด เพียงเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจอันใด ทว่าฝูงชนตรงหน้ากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น ย่างกรายเข้ามาใกล้เมื่ออีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาหา
ขณะที่ฉางกวง หยวนยู่เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ในที่สุดบ่าวรับใช้ในบ้านก็อดไม่ได้ที่จะถอยหนีไป ฉางกวง หยวนยู่ปล่อยพวกเขาไป ส่วนตนเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ขั้นบันไดของโถง สายตากวาดมองคนหมู่มากที่กำลังจับกลุ่มอยู่ที่เชิงบันได มีคนอย่างน้อยสามถึงสี่พันคน และบางคนยังเป็นถึงผู้ใช้พลังปราณที่โดดเด่น
ริมฝีปากของฉางกวง หยวนยู่คลี่ยิ้ม ขณะเขาเดินไปตามขั้นบันไดอย่างสบายใจ เขาก็เอ่ยขึ้นมาว่า “จะรีรอไปไย ผู้ใดอยากเข้ามาก่อนก็มาเถอะ”
ในขณะพูด เขาก็ชักกระบี่สองเล่มประจำตัวออกมา
“เจ้าเป็นใคร?” มีเสียงบางคนท่ามกลางฝูงชนไถ่ถามขึ้นมาอย่างกล้าหาญ ผู้คนต่างคาดเดาได้เล็กน้อยเกี่ยวกับตัวตนของเขา แต่พวกเขายังคงมีความหวัง ว่าคนตรงหน้าจะไม่ใช่ฉางกวง หยวนยู่ผู้น่าครั่นคร้ามคนนั้น
แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องผิดหวังเสียแล้ว…
ชายหนุ่มยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ข้า! ฉางกวง หยวนยู่! หลีกทางไปเสีย!”
“!?” เมื่อได้ยินคำตอบแล้ว พวกเขาก็ได้แต่สูดอากาศเย็น ๆ เข้าปอด และหลังจากได้ยินชื่อของฉางกวง หยวนยู่แล้ว พวกทหารจึงพากันวางอาวุธลงอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นว่าพวกเขาทุกคนมีสีหน้าบูดเบี้ยว ฉางกวง หยวนยู่ก็หัวเราะในใจและพูดเสียงดังขึ้นว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีกมาก พวกเจ้ายังคิดจะสู้อยู่หรือไม่? ถ้าไม่อยากสู้แล้วก็กลับไปเสีย แต่ถ้ายังจะสู้ก็รีบเข้ามา!”
ชายผู้นี้… เผชิญหน้ากับศัตรูนับพัน ไม่เพียงแต่ไม่แสดงความกลัวออกมา ทว่าเขายังกล้าท้าทายฝูงชนครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้เดียวที่กล้าทำเช่นนี้ น่ากลัวว่าจะเป็นฉางกวง หยวนยู่เพียงคนเดียว!
ใบหน้าของทุกคนแดงก่ำ เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของเขา หลังจากบรรยากาศเงียบไปได้ชั่วขณะ ทหารสองนายก็ตะโกนขึ้นอย่างกล้าหาญ และกระโดดออกมาจากฝูงชน ดาบพลังปราณปรี่เข้าโจมตีจากสองทาง หมายฟาดฟันเข้าใส่ศีรษะและหน้าอกของหยวนหยู
ฉางกวง หยวนยู่ไม่แม้แต่จะใช้เกราะพลังปราณ เขาเพียงแค่กวาดกระบี่ในมือไปข้างหน้าอย่างง่าย ๆ พลันเสียงดังกึกก้องของศาสตราวุธปะทะกัน ดาบทั้งสองเล่ม รวมทั้งคนที่ถือถูกพลังอันน่าเกรงขามกระแทกเข้าใส่จนกระเด็นออกไปในบัดดล
ไม่เพียงดาบปลิวไปในอากาศเท่านั้น แต่มันยังเฉือนเข้าที่คอของทหารทั้งสองนายด้วย หนึ่งในนั้นมีปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะกลัวฉางกวง หยวนยู่ แต่เขาก็ยังคงหลบได้ในช่วงเวลาวิกฤต ต่างกับอีกคนที่ไม่อาจหนีพ้นได้ทัน ก่อนที่จะมีโอกาสได้หลบ คมกระบี่คู่ก็เข้ามาถึงแล้ว
ศีรษะของนายทหารตกลงพื้นทันที ศพไร้ศีรษะย่อมอ่อนแรง มันทรุดลงกับพื้นทันที โลหิตตรงลำคอซึ่งถูกตัดขาดพลันกระเซ็นเป็นทางยาวขึ้นไปในอากาศ
ยามนี้ ผู้คนโดยรอบที่เห็นภาพเดียวกันต่างกายสั่นสะท้านไม่หยุด แม้แต่ผู้มีพลังปราณก็คิดว่าตนไม่อาจต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้ ในที่สุด ทุกคนก็ได้เห็นความน่าเกรงขามของฉางกวง หยวนยู่แล้ว
คนที่มีชีวิตรอดกลับไปได้ก็รู้สึกหวาดกลัวจับใจจนไม่กล้าออกมาสู้อีก
ฉางกวง หยวนยู่เคยฆ่าคนในสนามรบมามาก สำหรับเขาแล้ว การฆ่าคนแค่นี้นับว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก มันไม่ต่างจากการฆ่าไก่หรือหมาเสียด้วยซ้ำ เขายังคงกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามขึ้น “ใครจะเป็นคนต่อไป”
และกล่าวต่อว่า “ไม่เช่นนั้น ข้าว่าพวกเจ้าเข้ามาพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า มันเสียเวลาข้า!”
ท่ามกลางฝูงชนบริเวณที่พำนัก มีทั้งคนธรรมดาและผู้มีพลังปราณปะปนกันไป แม้ว่าจะมีทหารบางส่วนที่มีพลังปราณ แต่พลังของพวกเขาก็ไม่ได้สูงนัก ทว่าในอีกแง่มุม ด้วยผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันยามนี้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ควรถูกมองข้าม
แต่เพราะนี่คือฉางกวง หยวนยู่ ผู้ที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอยู่แล้ว เขาเป็นคนเดียวที่ไม่คิดเอาพวกคนตรงหน้ามาอยู่ในสายตา ราวกับไม่มีค่าให้เหลียวแล
แต่ไม่ว่าฉางกวง หยวนยู่จะทรงพลังเพียงใด เขาก็ตัวคนเดียว ซุยหนานหายใจเข้าลึก ๆ และตะโกนขึ้นว่า “ไม่จำเป็นต้องกลัว เข้าโจมตีพร้อมกัน แล้วฆ่ามันซะ!”
ขณะที่พูด ซุยหนานก็ปลุกใจเหล่าทหารไปด้วย เขาเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไป มือสะบัดดาบพลังปราณสองเล่มแทงเข้าไปที่ฉางกวง หยวนยู่สองครั้ง ซุยหนานกล้าหาญมาก เขาไม่กลัวความตายแม้แต่น้อย ขณะที่พวกทหารกับคนที่เหลือเองก็โรมรันเข้าล้อมรอบฉางกวง หยวนยู่ด้วย
ฉางกวง หยวนยู่จมอยู่ในทะเลฝูงชนทันที ท่ามกลางหมู่คนละลานตา ได้ยินเพียงเสียงการปะทะกันของสรรพาวุธ และเสียงกรีดร้องของผู้คนดังออกมาเป็นระยะ ๆ
ในตอนนี้ฉางกวง หยวนยู่จำต้องสวมเกราะพลังปราณแล้ว เขาใช้พลังปราณเข้าต่อสู้กับศัตรูรอบข้าง แต่ไม่ว่าเขาจะทรงพลังเพียงใด ก็ย่อมไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะสามารถต้านทานการโจมตีจำนวนมากได้!
เมื่ออาวุธจำนวนมากกระทบเข้ากับเกราะเป็นครั้งคราว มันก็ทำให้เกิดเสียงดังลั่นและประกายไฟปลิวว่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
หากให้เขาต้านทานการโจมตีหลายสิบกระบวนท่าอย่างต่อเนื่อง ฉางกวง หยวนยู่สามารถอาศัยพลังที่ล้ำลึกกับเกราะที่แข็งแกร่งป้องกันได้สบาย ๆ แต่หากเป็นการโจมตีหลายร้อยครั้งเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจป้องกันได้
เมื่อรู้สึกว่าการโจมตีของศัตรูนั้นไร้ความเมตตาและปรานี อีกทั้งเกราะของเขาก็อาจจะไม่สามารถอยู่ได้นานกว่านี้ ทันใดนั้นเอง ฉางกวง หยวนยู่พลันส่งเสียงคำรามออกมาดังกึกก้อง พร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณตามมาติด ๆ
กระแสพลังปราณพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อตัวเป็นรูปพัดและกวาดกระแทกออกไปโดยมีร่างของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ระยะการโจมตีของปราณคลั่งกว้างเกินไป ทำให้ผู้คนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะผู้คนที่อยู่ด้านหน้าของพลังปราณที่ถูกซัดเข้าร่างของพวกเขา ราวกับสัตว์ป่าคลั่ง
โลหิตแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วทุกพื้นที่ และเมื่อฝุ่นควันหายไปก็ปรากฏร่างไร้ชีวิตมากกว่ายี่สิบศพนอนอยู่บนพื้น พวกเขาเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการโจมตีของปราณคลั่ง ทั้งชุดเกราะและเสื้อผ้าของพวกเขาล้วนถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
คราวนี้ผู้คนต่างก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า พวกเขาหยัดกายขึ้นมองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ ดวงตาจับจ้องไปยังซากศพบนพื้น ประสาทสัมผัสของพวกเขาแข็งทื่อ หัวใจเต้นระรัวหวาดกลัวแทบขาดใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นทักษะการต่อสู้ด้วยพลังปราณระดับสูง คลื่นปราณคลั่งทำลายล้างนี้ ทรงพลังมากเกินไปจนทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ
“อ๊ากกกก!!”
ไม่ทราบว่าใครเป็นคนกรีดร้องก่อน แต่ทุกคนก็ได้สติอย่างรวดเร็ว บางคนปิดปากไว้ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงและโต้กลับ ขณะที่บางคนถอยเท้าออกห่าง บางคนโยนอาวุธในมือทิ้งแล้ววิ่งหนีไป พวกเขาไม่สนใจว่าตนจะวิ่งไปที่ใด ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถหนีฉางกวง หยวนยู่ได้
คราแรกนั้น ซุยหยวนสามารถปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ของฝูงชนได้ แต่สุดท้ายก็เป็นฉางกวง หยวนยู่ผู้ทำลายมันลงอย่างสมบูรณ์ ทุกคนยังคงวิ่งหนีต่อไป จนกระทั่งเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคนที่ยังคงอยู่ในที่นี้
ราวกับคาดเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว ฉางกวง หยวนยู่ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องซุยหยวนที่ยืนอยู่ไม่ไกล เขาสามารถบอกได้ว่าคน ๆ นี้น่าจะเป็นผู้นำของฝูงชน ฉางกวง หยวนยู่ก้าวไปข้างหน้า ยกกระบี่ในมือชี้หน้าซุยหนาน แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เข้ามาสิ!”