บทที่ 500
การถอนตัวของกองทัพปิงหยวนไม่ใช่เพราะคำสั่งของจี้หยาง ฮ่าวชุน แต่เป็นเพราะข้อความของชิวเจิ้น
จากมุมมองของชิวเจิ้น สาเหตุที่เหลียงซิงต้องการครอบครองวังคือการขึ้นเป็นราชาอย่างเห็นได้ชัด เพราะด้วยวิธีนี้เขาจะได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้อง
เมื่อกองทัพปิงหยวนออกจากพระราชวังก็เป็นการเปิดทางให้กับกองทัพชานซุยทันที เหลียงซิงและจี้หยาง ฮ่าวชุนต่างประหลาดใจ ทั้งสองคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าอีกฝ่ายจะปฏิบัติตามคำสั่ง ภาพนี้ทำให้เหลียงซิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ทั้งหมดนี้มันช่วยให้เขาบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่!
ก่อนที่เหลียงซิงจะสั่งกองทัพชานซุยของเขาอย่างไม่สบอารมณ์ ส่วนแม่ทัพและทหารของกองทัพปิงหยวนจะไปที่ไหน เขาไม่คิดจะไปยุ่งอีกต่อไป ตราบเท่าที่เขาได้เป็นราชา เขาก็สามารถแก้ปัญหาอื่น ๆ ทั้งหมดได้!
เหลียงซิงต้องการเรียกตัวเองว่าราชา แต่เขามองข้ามจุดหนึ่งไป จี้หยาง ฮ่าวชุนที่อยู่ในแนวหน้าเดียวกันกับเขา ก็อยากเถลิงราชตั้งตนเป็นราชาเช่นกัน หลังจากเข้าวังแล้ว เหลียงซิงยังคงส่งคนไปลอบปลงพระชนม์พระสนมถังเฟยที่ตำหนักหลัง ปากบอกว่าเขาไม่ได้ก่อกบฏ แต่มุ่งเป้าไปที่ถังหยินซึ่งมีแรงจูงใจแอบแฝงและใช้กำลังเข้ายึดวังหลวง
หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องโถงใหญ่ของราชสำนัก เมื่อมองไปที่บัลลังก์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางห้องโถงแล้ว
เหลียงซิงรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก เพื่อให้สามารถนั่งตรงกลางห้องโถงมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ต้องสละชีวิตไป ถังหยินและซ่งเทียนต่อสู้กันจนได้เลือด ใครจะคิดว่าคนที่หัวเราะในตอนท้ายสุดจะเป็นตัวเขาเอง ขณะที่คิดถึงเรื่องนี้ เหลียงซิงก็ก้าวเดินไปที่หน้าบัลลังก์ ก่อนจะหันกลับมาและค่อย ๆ นั่งบนบัลลังก์
ขณะที่เหลียงซิงขึ้นนั่งลง เหล่าองครักษ์ต่างมองหน้ากันอย่างมีความหมาย จากนั้นพวกเขาคุกเข่าพร้อมกันและตะโกนว่า “ขอทรงพระอายุยืนเป็นพัน ๆ ปี!”
“อายุยืนพัน ๆ ปี!”
“ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ” เหลียงซิงมองไปที่ฝูงชนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ การนั่งอยู่ตรงนี้หมายถึงเขาคือผู้ปกครองดินแดน เจ้าของประชาชนทั้งหมด อยู่สูงเหนือกว่าผู้ใด และไม่มีใครกล้ายืนเทียบตนกับเขาได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีอำนาจหรือร่ำรวยเพียงใด มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ามดปลวกต่อหน้าราชา
ขณะที่เหลียงซิงกำลังคิดเช่นนี้ ก็มีคนตะโกนมาจากด้านล่าง “นั่นไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะอยู่!” ด้วยประโยคนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียงซิงแข็งขึ้น เขาหันไปมองคนที่พูด
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ทัพใหญ่จี้หยาง ฮ่าวชุน
เหลียงซิงสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะและพูดว่า “แคว้นไม่อาจอยู่ได้โดยปราศจากผู้ปกครอง ข้าเองก็อยู่ในแคว้นเฟิงมานานเกินไป มองดูผู้คนอยู่ในความสับสนวุ่นวายและตื่นตระหนก รอให้วันใหม่มาถึง ในเวลานี้ย่อมต้องมีใครบางคนก้าวขึ้นมารับผิดชอบ และสืบทอดบัลลังก์”
หลังจากที่จี้หยาง ฮ่าวชุนได้ยิน เขาโกรธมากจนควันออกจมูก เกือบจะคัดค้าน ว่าเดิมซ่งเทียนได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชาแล้ว และเหลียงซิงเองก็เป็นผู้อาวุโสรุ่นที่สาม แต่ถึงอย่างนั้น เหตุใดบัลลังก์จึงเป็นของเหลียงซิงไม่ใช่ของเขา?
จี้หยาง ฮ่าวชุนกล่าวเย้ยหยัน “คำพูดของท่านเสนาบดีเหลียงสร้างภาพดีนี่! หากพูดเช่นนั้น ราชวงศ์เองก็มีเชื้อพระวงศ์อีกหลายท่าน แล้วเหตุใดจึงมีเพียงเสนาบดีเหลียงของเท่านั้นที่ขึ้นเป็นราชา?”
รอยยิ้มของเหลียงซิงค่อย ๆ กลายเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว เขาโน้มตัวไปข้างหน้าและพูดแผ่วเบา “ในบรรดาคนพวกนั้นน่ะ บารมีของข้าสูงที่สุด ถ้าแม่ทัพใหญ่จี้หยางมีดีกว่าข้า ข้าเองก็พร้อมที่จะหลีกทางให้!”
จี้หยางแตะจมูกของเขาและพูดว่า “ข้านี่แหละ! ตำแหน่งทางราชสำนักข้าเหนือกว่าเจ้า ศักดิ์ศรีข้าก็สูงกว่าเจ้า เหลียงซิง!” จี้หยางฮ่าวชุนกล่าวด้วยความมุ่งมั่น
“ฮ่าฮ่า?” เหลียงซิงหัวเราะและพูดว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ท่านสนับสนุนการส่งกองกำลังออกไปรบกับพวกหนิง ซึ่งส่งผลให้สูญเสียกำลังพลไปกว่าสองแสนนาย หากท่านเป็นราชา แคว้นคงต้องล่มสลายเป็นแน่แท้”
การต่อสู้ครั้งนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นความอัปยศอดสูที่จี้หยาง ฮ่าวชุนไม่มีวันลบล้างได้ตลอดชีวิตของเขา แน่นอนว่าเขามีความรับผิดชอบอยู่บ้าง แต่สาเหตุหลักที่ทำให้เขาล้มเหลว ยังคงเป็นเพราะซ่งเทียนตลบหลังเขา มาตอนนี้ เมื่อเหลียงซิงพูดถึงมันอีกครั้ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการกระทำนี้มันเหมือนกับกำลังโรยเกลือราดแผลของจี้หยาง ความโกรธของแม่ทัพจึงพุ่งถึงขึ้นฟ้าไปแล้ว “ถ้าข้าไม่หยุดเจ้าเอาไว้ น่ากลัวว่าจะตายกันมากกว่านี้!”
“เหลียงซิง!!!” จี้หยางกราดเกรี้ยว เขาขบฟันและคำราม จากนั้นก็ดึงดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าหาเหลียงซิง
เหล่าทหารและองครักษ์ก็เข้ามาขวางทางเขา ก่อนที่เหลียงซิงจะเข้าวัง จี้หยาง ฮ่าวชุนยังคงเป็นประโยชน์กับเขาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาหมดประโยชน์แล้ว การให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อไป รังแต่จะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ดวงตาของเหลียงซิงทอประกายโหดเหี้ยม เขาตะโกนอย่างเย็นชา “มันคิดลอบสังหารข้า พวกเจ้ายังรออะไรอยู่!”
ทันใดนั้น เหล่าทหารที่ขวางทางอยู่ก็ทุบจี้หยาง ฮ่าวชุนอย่างไม่มีการเตือน จากนั้นก็มัดเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ปากของเขาไม่ได้อยู่เฉย ๆ ขณะที่ยังด่ากราด “เหลียงซิง ไอ้งูพิษ! แกคิดที่จะทำแบบนี้ตั้งแต่แร—!” แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ทหารคนหนึ่งก็ม้วนเศษผ้าและยัดมันเข้าไปในปากของจี้หยาง ฮ่าวชุน
เหลียงซิงโบกมือและพูดอย่างเป็นกันเอง “ลากเขาออกไป จากนั้นขังเขาไว้พร้อมกับอู่หยู รอให้ทุกอย่างเรียบร้อย”
“ขอรับ!” ผู้คุมตอบขณะที่พวกเขาลากจี้หยางฮ่าวชุนออกไป
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ยถูกลากตัวไปแล้ว สายตาของเหลียงซิงก็เปลี่ยนไป เขาหัวเราะพลางมองเหล่าคนที่ภักดีต่อจี้หยาง ฮ่าวชุน และถามเบา ๆ ว่า “พวกเจ้าจะเลือกข้างไหน? ว่ามา”
พวกเขาได้สติแล้วต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็คุกเข่าลงทีละคน ตะโกนว่า “ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ!”
ต้องทราบว่า ในราชสำนักไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘ความภักดีหรือมิตรภาพ’
มันมีเพียง ‘ผลประโยชน์ร่วมกัน’ เท่านั้น
ถ้าพวกเขาติดตามจี้หยาง ฮ่าวชุนต่อไป ตอนนี้ก็มีแต่ทางตันให้ก้าวเดิน และถ้าพวกเขาไม่ก้มหัวให้เหลียงซิงตอนนี้ พวกเขาจะต้องรออีกนานแค่ไหน?
เมื่อเห็นว่าพวกเขาต่างสรรเสริญ เหลียงซิงก็โล่งใจ รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้น เขากะพริบตาและพูดอย่างแผ่วเบา “ยังเร็วเกินไปที่จะเรียกข้าว่าราชา!”
ไม่มีใครเข้าใจว่าเหลียงซิงหมายถึงอะไร แต่พวกเขาทั้งหมดมองอีกฝ่ายอย่างโง่งม
เหลียงซิงถอนหายใจออกมาว่า “ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะช่วยให้ข้าสืบทอดบัลลังก์ต่อไป”
เพียงแค่ประโยคเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจว่าเหลียงซิงหมายถึงอะไร เหลียงซิงฉลาดกว่าซ่งเทียนมาก เขาไม่ต้องการริเริ่มที่จะเรียกตัวเองว่าราชา แต่ต้องการให้มีผู้ยอมจำนนต่อเขา ทำให้เขาเป็นราชา ด้วยวิธีนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเรียกเขาว่าราชา เพราะความจำเป็นของสถานการณ์
“ใช่ขอรับ!”
“เราจะผนึกกำลัง และเขียนรายงานเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกร้องให้ท่านเสนาบดีเหลียงมีสิทธิ์ในราชบัลลังก์!”
“ถูกต้อง ต้องจัดการตอนนี้!” พวกเขาตอบทันที
ไม่นานหลังจากที่เหลียงซิงเข้าวัง เหล่าขุนนางประจำราชสำนักยี่สิบคนก็เขียนจดหมายแนะนำให้เหลียงซิงเป็นราชา
และการปฏิเสธเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรก ก็ถูกปฏิเสธโดยเหลียงซิง เขาอ้างว่าตนไม่มีประสบการณ์และขาดความสามารถในหลายด้าน หลังจากนั้นไม่นานก็มีจดหมายร่วมฉบับที่สอง มันคล้ายกับบทความก่อนหน้านี้ที่ยกย่องเหลียงซิงยกย่องราวกับเขาเป็นเทพเจ้า จนเหมือนกับว่าไม่มีใครอื่นนอกจากเขาในแคว้นเฟิงที่มีคุณสมบัติ และความสามารถในการสืบทอดบัลลังก์
ถึงเหล่าขุนนางจะพยายามให้คำแนะนำเขาถึงสองครั้ง เหลียงซิงยังคงแสดงท่าทีปฏิเสธและหลังจากนั้นก็เขียนจดหมายร่วมฉบับที่สามอีกครั้ง ครั้งนี้เหลียงซิงไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว แสดงความถ่อมตัวออกมา ก่อนที่เขาจะพยักหน้าในที่สุดและแสดงให้เห็นว่า เขาเต็มใจที่จะสืบทอดบัลลังก์
เมื่อมีประกาศของเหลียงซิงที่ตกลงจะสืบทอดบัลลังก์ของแคว้นเฟิง ผู้คนในเมืองหยานก็โห่ร้องทันที นี่ไม่ใช่เพราะประชาชนสนับสนุนเหลียงซิง แต่ทั้งหมดนี้ได้รับการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว บนท้องถนนประชาชนที่ส่งเสียง ส่วนใหญ่เป็นพวกของเหลียงซิง เช่นเดียวกับคนรับใช้ในบ้านและแขกของเขา
อาจกล่าวได้ว่าฉากแห่งความสุขนี้ถูกควบคุมโดยเหลียงซิงทั้งหมด
ชิวเจิ้นและเหล่าแม่ทัพคนอื่น ๆ ของกองทัพเทียนหยวนเฝ้าดูเหลียงซิงขึ้นเป็นราชา หลังจากนั้นพวกเขาก็ส่งข่าวให้ถังหยิน อธิบายสถานการณ์และขอความเห็นจากเขาว่าพวกเขาควรจัดการอย่างไร
ฝ่ายหลีเทียนอ่านจดหมายทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะที่เหงื่อเย็น ๆ ไหลอาบลงมาที่แผ่นหลัง เหลียงซิงได้ขึ้นครองราชย์? นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เรามีกองทัพหลายแสนคนที่เมืองหยานแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าไม่มีใครยืนหยัดเพื่อหยุดเหลียงซิง?
เขากลืนน้ำลายและด้วยมือที่สั่นเทา ส่งจดหมายให้ถังหยิน ในเวลาเดียวกัน เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน “นายท่าน…คิดว่าเราควรทำอย่างไรดี…”
ถังหยินยกมือของเขา ขัดจังหวะคำถามของหลีเทียน นัยน์ตาชายหนุ่มลึกล้ำขณะที่เขาพูดออกมา “ชิวเจิ้นและคนที่เหลือกำลังบังคับข้าอยู่!”
เขากำจดหมายในมือแน่นและพูดอย่างแผ่วเบา “บังคับให้ล้างบางเมืองหยาน!”