บทที่ 273
บทที่ 273
ซงหยวนเช็ดเหงื่อเย็น ด้วยมีประโยชน์อันใดที่เอาเขามาด้วยกัน ? หากถังหยินต้องพบกับอันตรายภายนอก เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย ทว่าเมื่อเห็นถังหยินเดินออกไปเช่นนี้ ซงหยวนก็ได้แต่จำใจต้องเดินตามอีกฝ่ายไปทั้งอย่างงั้น
ทั้งสองคนออกจากจวนโดยมีซงหยวนเป็นผู้นำทาง ก่อนที่พวกเขาจะพากันเดินตรงไปทางฝั่งตะวันตกของเมือง
ถังหยินและซงหยวนแต่งกายด้วยชุดลำลองเรียบง่ายและไม่มีผู้ติดตามอยู่เคียงข้าง ซึ่งการปรากฏตัวของพวกเขาก็ยากนักที่จะทำให้ใครเชื่อว่าหนึ่งในนั้นคือผู้นำของทั้งสามมณฑลกับกุนซือที่ปรึกษาผู้เก่งกาจ !
ในขณะที่นำทาง ซงหยวนก็เข้าประชิดตัวถังหยินขึ้น และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะสดใสขึ้นผิดกับเมื่อ 2-3 วันก่อน เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป “วันนี้ ดูนายท่านสดใสขึ้นนะขอรับ !”
“ก็ดี !” ถังหยินพยักหน้าและกล่าวว่า “เพราะวันนี้ข้ามีเวลานอนหลับมากกว่าที่เคย”
ซงหยวนรู้เรื่องที่เขาไปเยี่ยมอู่หยูที่จวน ซึ่งตัวเขาก็ได้ทำการคาดเดาอย่างลับ ๆ ว่าถังหยินนอนที่แห่งนั้นเลยหรือเปล่า หากทว่าเขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะคิดถามไปตรง ๆ แต่เลือกที่จะถามออกไปว่า “ไปเยี่ยมเยียนท่านเสนาบดีเป็นยังไงบ้างขอรับ ?” แทน
ถังหยินที่ได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะก่อนกล่าว “หลังจากที่เรากำจัดซ่งเทียน ท่านเสนาบดีมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมให้ข้าขึ้นเป็นอ๋อง ภายใต้เงื่อนไขก็คือข้าต้องคืนตำแหน่งและอำนาจทางทหารให้ตระกูลอู่ เจ้าคิดอย่างไร ?” ขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ได้หันมองไปที่ซงหยวนโดยไม่กะพริบตา ด้วยนี่คือการทดสอบปฏิกิริยาอีกฝ่าย ว่าจงรักภักดีต่อตัวเขาจริงหรือไม่ !!
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซงหยวนก็พลันสูดอากาศเข้าปอดลึก ๆ เพื่อตั้งสติ ก่อนจะกำมือแล้วกล่าวออกไป “ถ้าเราสามารถกำจัดซ่งเทียนได้สำเร็จ ผลงานของนายท่านก็จะยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่แคว้นเคยมีมา และเมื่อสายเลือดของท่านอ๋องหมดสิ้นแล้ว งั้นก็คงไม่อาจมีใครรับช่วงได้อีก และจะเหลือก็แต่นายท่านเท่านั้นที่เหมาะสมสำหรับบัลลังก์แห่งแคว้น !”
ถังหยินแอบพยักหน้า ด้วยไม่ว่าสิ่งที่ซงหยวนพูดจะจริงใจหรือไม่ก็ตาม หากแต่อีกฝ่ายก็สนับสนุนตนในการอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งอ๋อง และเมื่อเห็นสายตาของถังหยินที่เปลี่ยนไป ซงหยวนก็พลันถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบพูดว่า “อย่างไรก็ตาม แม้ว่านายท่านจะได้รับการสนับสนุนจากท่านอู่ แต่การได้รับการสนับสนุนจากท่านเหลียงและแม่ทัพจี้หยางก็จำเป็นเช่นกัน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย…” แล้วเขาก็เงียบไปซะเฉย ๆ
ถังหยินเงยหน้าขึ้น “แล้วเรื่องอื่นเล่า ?”
“นอกจากนี้แล้ว แม้ว่าจะมีเหตุผลสำหรับนายท่านที่จะอ้างสิทธิ์ในตำแหน่งอ๋อง แต่ทว่ามันก็ยังขาดการยอมรับ” ซงหยวนเตือนอย่างระมัดระวัง
“การยอมรับ ?” ถังหยินไม่เข้าใจว่าซงหยวนหมายถึงอะไร
ซงหยวนกล่าวต่อ “การปกครองแคว้น ไม่สามารถที่จะกระทำได้ด้วยตัวคนเดียว หากแต่ต้องได้รับการยอมรับจากองค์จักรพรรดิ และหากไม่ได้มันมาแล้ว งั้นแล้วมันก็จะกลายเป็นการทำผิดซ้ำรอยและเดินตามเส้นทางเดิมของซ่งเทียน !”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เป็นชายหนุ่มที่พูดว่า “หมายความว่าอย่างไรกัน หรือว่าข้าควรจะสร้างความชอบมากกว่านี้ เพื่อให้พวกมันมอบตำแหน่งให้กับข้า ?
“ใช่ขอรับแล้วนายท่าน !” ซงหยวนพยักหน้ารับ ก่อนกล่าวเสริมว่า “แม้ว่าจักรพรรดิจะไม่ได้ทรงอำนาจเช่นเดิมอีกต่อไป แต่ศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายก็ยังคงมีอยู่ ดังนั้นแม้ว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเหลียงและตระกูลจี้หยางก็ไม่เป็นอะไร ด้วยขอแค่องค์จักรพรรดิสนับสนุนก็เพียงพอแล้ว !!!!”
“ดังนั้นนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่นายท่านจะต้องเตรียมการล่วงหน้า ด้วยการไปที่ชางจิง เพื่อส่งมอบทองคำจำนวนมากแก่องค์จักรพรรดิ !!”
ถังหยินที่ได้ฟังเช่นนั้นก็เห็นด้วย คิดว่าเป็นเรื่องจริง ก่อนที่หัวใจของเขาจะกระตุกวูบ ด้วยจู่ ๆ ชายหนุ่มก็นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา
…หยินโหรว นางจะเป็นเช่นไรบ้างกันนะ ?
เมื่อเห็นแววตาว่างเปล่าของถังหยิน ซงหยวนก็พลันหัวเราะออกมา “แน่นอนเรื่องแบบนี้ไม่สามารถเร่งรีบได้ นายท่านอย่าเพิ่งเอาไปคิดจริงจังเลยขอรับ”
ถังหยินกลับมาสู่ความเป็นจริง ปากค่อย ๆ พึมพำ “ถ้าข้าหาเวลาได้ ข้าจะไปที่ชางจิงแน่นอน” เมื่อพูดแบบนั้นจบ เขาก็หันมองไปที่ซงหยวน
ซงหยวนเป็นคนฉลาด มีความพิถีพิถัน และมีพรสวรรค์ ดังนั้นแล้วการมีอีกฝ่ายอยู่ใต้บังคับบัญชาก็นับเป็นอะไรที่ดีมากจริง ๆ และเมื่อคิดถึงตรงนี้ ถังหยินก็พลันยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง ข้าคงต้องขอบใจเจ้ามากสำหรับคำแนะนำนี้”
ซงหยวนตกใจ ถังหยินเป็นนายท่านของเขา แล้วนายท่านจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร ? คิดถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน ด้วยรู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว จึงรีบโค้งคำนับและกล่าวว่า “นายท่านกล่าวเกินไปแล้วขอรับ !”
ถังหยินรู้สึกขบขันกับปฏิกิริยาที่เกินจริงของอีกฝ่าย จึงได้ตบไหล่ของคนตรงหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าก็สุภาพมากเกินไปแล้วเช่นกัน ! ไปกันเถอะ เราสองคนจะไปที่บ่อนกัน !”
“ขอรับ ตามที่นายท่านจะปรารถนา !” ซงหยวนถอนหายใจ ความไม่แน่นอนของถังหยินเป็นสิ่งที่ซงหยวนไม่สามารถเข้าใจได้เลย !
ระหว่างทาง ถังหยินได้ถามซงหยวนว่าตัวเขาควรจะให้อำนาจทางการทหารแก่ตระกูลอู่ในอนาคตอีกหรือไม่ แต่ทว่าซงหยวนกลับไม่เห็นด้วยทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ด้วยการที่อำนาจทางการทหารตกไปอยู่ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
และแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการสนทนาแบบสบาย ๆ แต่ถังหยินก็จดจำคำพูดของซงหยวนไว้ในใจ ด้วยเขาไม่ต้องการให้ความผิดพลาดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
บ่อนพนันที่ซงหยวนพาถังหยินไปนั้นไม่เล็กเลย มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ด้านนอก เช่นเดียวกับตัวอาคารที่มี 2 ชั้น
ในเวลานั้น แต่ละแคว้นก็มีทัศนคติต่อบ่อนที่แตกต่างกัน บางแห่งห้ามไม่ให้มีการพนัน ในขณะที่บางที่ก็เปิดกว้าง ซึ่งแคว้นเฟิงก็จัดอยู่ในกลุ่มหลัง ทำให้การเปิดบ่อนเป็นเรื่องถูกกฎหมายในที่แห่งนี้
มีหลายวิธีในการเล่นการพนัน ดังนั้นแล้วถังหยินจึงส่งใจเป็นอย่างมาก เขาเข้าร่วมสนุกด้วยทุกการละเล่นนั่นอย่างเพลิดเพลิน
และด้วยถังหยินพอจะมีเงินอยู่บ้างในกระเป๋า ดังนั้นแล้วเขาจึงใช้เงินก้อนนี้นี่แหละเป็นเงินเดิมพัน
…ถึงแม้ซงหยวนจะโชคดีจนได้เงินกลับมาเป็นถุง แต่กลับถังหยินไม่เป็นเช่นนั้นเลย ทำให้ชายหนุ่มได้แต่แอบมองซงหยวนที่อยู่ข้าง ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้มีเวลาสังเกตอีกฝ่าย จนพบว่าแท้ที่จริงแล้วซงหยวนแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับเงินเลย !!!
แม้ว่าถังหยินไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าสมองของซงหยวนน่าจะฉลาดกว่าชิวเจิ้น
ปัจจุบันถังหยินเป็นผู้นำของทั้ง 3 มณฑล ดังนั้นอำนาจทางการเงินของทั้ง 3 ดินแดนจึงอยู่ในมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งก็คงพอจะจินตนาการกันได้ว่าเมื่อรวมทั้ง 3 มณฑลเข้าด้วยกันแล้วจะมีเงินมากเท่าใด !!! แต่ในเมื่อครั้งนี้เป็นเพียงการละเล่นขำ ๆ ชายหนุ่มจึงลงเงินแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น !
ในขณะที่ถังหยินกำลังสนุกอยู่ ทันใดนั้นก็เกิดความปั่นป่วนในบ่อน ทำให้ถังหยินหันมอง ก่อนจะพบเข้ากับชายในวัย 30 ต้น ๆ ที่แต่งกายเรียบง่ายและสบาย ๆ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักพนันคนอื่น ๆ
ถังหยินและซงหยวนด้วยไม่รู้ว่าคน ๆ นี้เป็นใคร ก่อนจะเป็นซงหยวนที่ถามคนข้าง ๆ เขาว่า “เขาเป็นคนดังหรือไง ?”
“เจ้าไม่รู้จักเขาหรือ ?” นักพนันมองไปที่ซงหยวนราวกับกำลังมองคนบ้าไม่มีผิด
“ฮ่าฮ่าฮ่า !” ซงหยวนหัวเราะ ก่อนจะหันมองไปที่ถังหยินและพูดกับคนข้าง ๆ ที่เป็นนักพนันผู้นั้น “ข้ามาจากเมืองอื่น ดังนั้นข้าเลยไม่รู้เรื่องอันใดเลยที่เกี่ยวกับที่แห่งนี้ !”
“โอ้ ! มิน่าเล่า !” นักพนันคนนั้นเป็นคนชอบคุย ดังนั้นเขาจึงอธิบายให้ซงหยวนฟัง “อันที่จริงข้าก็ไม่รู้จักชื่อของเขาหรอก หากแต่ข้าเคยเห็นเขาหลายครั้งก่อนหน้านี้ ด้วยเขานั้นเป็นคนใจกว้างมาก มักจะมาลงเดิมพันครั้งละ 1 พันเหรียญ ถ้าแพ้ก็จะออกไปจากบ่อนทันที แต่ถ้าชนะก็จะโยนเงินทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้ผู้คนในบ่อนแย่งชิงกันเอง”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ?” เมื่อได้ยินแบบนี้ ถังหยินและซงหยวนก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ในโลกนี้มีคนตรงไปตรงมาแบบนี้ด้วยหรือ แต่เขาทำไปเพื่ออะไรกัน ? ทุกครั้งที่มาที่บ่อนก็จะทิ้งเงินจำนวน 1 พันเหรียญเอาไว้ แต่ทิ้งไว้ทำไม ? ร่ำรวยมากงั้นหรือ ? แล้วไหนจะการที่คนอื่น ๆ รู้จักคนคนนี้อีก ที่มันก็แสดงว่าเขาคนนี้มาที่แห่งนี้แล้วทำเช่นนั้นบ่อยมากแค่ไหน !!!
หลังจากฟังคำบรรยายของนักพนันผู้นั้นจบ ถังหยินและซงหยวนก็เริ่มสงสัยเกี่ยวกับอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชายผู้นั้นเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วล้วงควักเอาเงินออกมาวางลงบนโต๊ะ ก่อนพูดว่า “1 พันเหรียญ !”
เจ้ามือที่เขย่าลูกเต๋าดูเหมือนจะคุ้นเคยกับชายคนนั้นมาก เขายิ้มอย่างรู้ทันและพยักหน้า จากนั้นก็หันมองไปที่คนอื่น ๆ แล้วพูดว่า “สูง ! สูง ! สูง ! ข้าหวังอยู่นะ !”
นักพนันทั้งหมดส่ายหัว ในเวลานี้ไม่มีใครยอมเดิมพันอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดรอผลการเดิมพันของชายผู้นั้นเพื่อดูว่าเขาจะชนะหรือแพ้
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครวางเดิมพัน เจ้ามือจึงตะโกนว่า “เปิด !”
เขาหยิบถ้วยขึ้นมา ในขณะที่ทุกคนซึ่งอยู่รอบโต๊ะพนันพากันจ้องมองไป ก่อนที่พวกเขาเห็นจะว่าลูกเต๋าสามลูกคือ 2 6 กับ 5 และเมื่อเจ้ามือเห็นเช่นนั้น เขาก็พลันยิ้มกว้างพร้อมร้องตะโกนว่า “สอง หก ห้า ! แต้มสูง !”
“โอ้วววววววววววววววววววว !!”
หลังจากเสียงโห่ร้อง ฝูงชนที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็ส่งเสียงออกมาด้วยความผิดหวัง
หากชายตรงหน้าสามารถชนะได้ ทุกคนโดยรอบก็จะได้รับส่วนแบ่งพวกนั้น …แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น !
เมื่อเสียเงิน 1 พันเหรียญให้กับคนอื่นในชั่วพริบตาเช่นนี้ ชายคนนั้นกลับไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ ก่อนที่เขาจะเดินออกจากร้านไป เช่นเดียวกับคนรับใช้ที่ติดตามออกไปจากบ่อน
ถังหยินอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวตนของอีกฝ่าย ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนผู้นั้น เขาก็พลันยิ้มออกมาและร้องทักไป “พี่ชาย รอข้าก่อนสิ !”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายร่างใหญ่ก็หยุด ก่อนจะหันไปมองถังหยินด้วยสีหน้างงงวยพลางขมวดคิ้วและถามว่า “มีธุระอะไรกับข้า ?”