บทที่ 300
บทที่ 300
วันต่อมา ช่วงรุ่งเช้าที่ฟ้ากำลังสว่าง ถังหยินได้ตื่นขึ้นมาแล้วเดินไปยังทางเข้าบ้านหลังนั้นหนึ่งเพื่อดูว่ามีอะไรอยู่ข้างในหรือไม่
ที่ข้างนอกนั้น มีชาวบ้านเดินกันเต็มถนนเยอะแยะไปหมด เยอะเสียกว่าเมื่อตอนกลางวันเสียอีก ซึ่งก็ไม่ต้องแปลกใจเลย ด้วยที่พวกเขาทำแบบนี้ก็เพราะกลัวทางการทั้งนั้น จึงได้ออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อหลบหนีสายตาพวกทหาร
ถังหยินเดินไปตามตรอกซอยของเมือง มันเป็นสถานที่เงียบ ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง มีร้านขายของเต็มสองข้างทาง ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินไปซื้อซาลาเปากิน
มันเป็นซาลาเปาไส้ผักและไม่มีเนื้ออยู่ข้างในเลย ซึ่งถังหยินก็ไม่ได้เลือกกินอยู่แล้ว เขาเพียงมองไปรอบ ๆ ระหว่างกิน ทำให้พบว่าระหว่างที่ผู้คนกำลังซื้อของกันนั้น พวกเขาต่างก็มีท่าทีหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา
หลังจากสำรวจดูรอบ ๆ เสร็จ ถังหยินก็หัวเราะเบา ๆ ด้วยเขารู้แล้วว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อจากนี้ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มคนวิ่งมาจากทางเหนือแล้วตะโกนลั่น “พวกทางการมาแล้ว ! ซ่อนตัวเร็ว !”
ทุกคนที่ได้ยินคำนี้ต่างก็ปั่นป่วนกันไปหมด ทั่วทั้งตลาดวุ่นวายแล้วพากันเก็บของหายไปจากซอยนี้ทันที
ถังหยินหรี่ตา ยังคงยืนกินซาลาเปาอยู่ริมถนน แล้วก็มีคนวิ่งเข้ามาบอกเขา “หยุดกินก่อนพี่ชาย ถ้าไม่รีบซ่อนจะถูกทางการจับตัวไปเป็นทหารนะ !”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างซื่อบื้อ จนชาวบ้านคิดว่าเขาบ้าไปแล้วพร้อมกับวิ่งหนีออกไปโดยไม่รอ
ไม่นานนักในซอยนี้ก็ร้างผู้คน ก่อนจะมีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามา “หยุดวิ่งนะ ! ถ้าวิ่งข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย !”
ไม่ต้องมองก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายคือพวกทหาร
ถังหยินยืนนิ่งแล้วกินต่อให้หมด ก่อนจะเกิดหมอกสีดำขึ้นมารอบตัวเขาแล้วกลายเป็นร่างแยกของเขาเอง
ร่างแยกถอยออกไปสองก้าวก่อนจะยืนตรงและกระโดดหายไป
ร่างจริงของถังหยินยังอยู่ที่เดิม เขาไม่ได้คิดจะหนีและรอให้ถูกจับตัวไป
ไม่นานนักพวกทหารก็วิ่งเข้ามากันมากมาย ซึ่งพวกเขาต่างก็แปลกใจที่ยังเห็นถังหยินยืนกินอาหารเช้าสบาย ๆ อยู่แบบนั้น
“เฮ้ย เจ้าหนู !” นายกองเดินเข้ามาแล้วสะบัดมือถังหยินจนอาหารหล่นพื้นไป “เจ้าชื่ออะไร ?”
“ถังชู”
“เยี่ยม เยี่ยม ดีเลย” นายกองพูดขึ้น ไม่ใช่เพราะว่านี่เป็นชื่อที่ดี แต่เพราะอีกฝ่ายยังมีสติที่พูดคุยได้อยู่ เขาตบบ่าของถังหยิน “หยุดกินได้แล้ว ข้าจะเจ้าไปกินข้าวโดยที่ไม่ต้องเสียเงินด้วย”
“หา ?” ถังหยินแกล้งทำเป็นงุนงง
“อย่าลีลาน่า ไปได้แล้ว” นายกองดึงตัวถังหยินออกไปจากซอยด้วยในทันที
ถังหยินไม่ใช่คนเดียวที่ถูกจับตัวได้ มีชายฉกรรจ์อีก 50 คนถูกพาตัวมาด้วย บางคนก็อายุ 40 บางคนก็เป็นชายจรจัด บางคนก็เป็นนายน้อยหุ่นอวบกินดีอยู่ดี และเมื่อพวกเขามารวมตัวกันในที่เปิดแล้ว พวกทหารก็พากันแบ่งกันนับหัวทีละคนไป
ในตอนนี้นายน้อยคนหนึ่งถูกนำตัวออกมาแล้วก้มหัวให้กับนายกอง ก่อนที่เขาจะกระซิบบางอย่างข้างหูนายทหารพร้อมกับหยิบถุงเงินออกมาให้ ซึ่งนายกองคนนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะปล่อยตัวคุณชายน้อยคนนี้ไป
ว่าแล้วนายน้อยคนนั้นก็รีบวิ่งแจ้นหนีหายไปทันที
ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ตาม เงินก็ทรงอำนาจที่สุด
นายกองมองไปรอบ ๆ แล้วตะโกน “วันนี้นายท่านอย่างข้าใจดี ใครก็ตามที่จ่ายเงินให้ข้า 50 เหรียญเงินจะได้รับสิทธิพิเศษ !”
“ข้ามีเงิน เอามันไปเลย” พวกชาวบ้านนับสิบคนต่างก็พากันควักเงินออกมา
นายกองมองเงินเหล่านั้นก่อนจะคว้าเงินทั้งหมดนั้นไปแล้วพูดต่อ “เจ้าคิดว่าเงินแค่นี้มันจะพอหรือไง ? แต่ช่างเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดีเอาเป็นว่าข้าจะสั่งให้พวกเจ้าไปบริเวณกำแพงเมืองก็แล้วกัน ส่วนใครก็ตามที่ไม่ได้จ่ายเงิน ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือเด็กข้าจะให้พวกเจ้าไปประจำการที่ประตูเมือง !”
ประตูเมืองคือจุดที่ถูกรุกรานบ่อยมากที่สุด ดังนั้นจึงเป็นจุดที่อันตรายที่สุดเช่นกัน และหลังจากที่นายกองจัดแจงทุกคนให้ไปตามที่บอกเอาไว้ ถังหยินก็ต้องยิ้มร่าออกมาเพราะนี่ช่วยให้งานของเขาง่ายขึ้นมาก
ระหว่างทาง ถังหยินได้มองไปรอบ ๆ ทำให้เขาได้พบเข้ากับพวกชาวบ้านในชุดขาด ๆ ที่กำลังเดินไปยังทางเหนือของเมืองด้วยความสิ้นหวัง เขาจึงได้เอนตัวเข้าไปกระซิบถาม “คนพวกนั้นเป็นใครหรือ ?”
ชายหนุ่มชุดขาด ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินก็หันมาบอกว่า “เจ้าไม่รู้จักพวกนั้นหรือไง ? นั่นน่ะทหารองครักษ์เลยนะ”
“ในเมื่อเป็นทหารระดับสูง แล้วทำไมถึงยังรับสินบนกัน ?”
ชายผู้นั้นหัวเราะออกมาแล้วส่ายหัว “มันเพี้ยนไปตั้งแต่ที่เจ้าเมืองคนนี้เข้ามาที่นี่แล้ว พวกเรามีชีวิตอยู่กันอย่างแร้นแค้นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ อีก !”
คำพูดพวกนี้สะท้อนก้องไปในจิดใจของพวกชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ ได้เป็นอย่างดี “พวกเรายอมให้พวกเทียนหยวนเข้าตีเมืองเสียยังดีกว่าจะยอมเป็นแบบนี้ต่อไป !”
“ไม่ได้หรอก ถ้าพวกเทียนหยวนเข้ามาเมื่อไหร่ เขาจะต้องสั่งฆ่าล้างเมืองแน่”
“แล้วมันจะต่างกันตรงไหนล่ะ ในเมื่อมันก็เป็นการตายเหมือนกัน จะตายด้วยกองทัพเทียนหยวน หรือด้วยทหารองครักษ์มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”
นี่บ่งบอกได้ถึงความรู้สึกของพวกชาวเมืองได้เป็นอย่างดี นอกจากพวกเขาจะสิ้นหวังกับเจ้าเมืองของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็ยังหวาดกลัวกองทัพเทียนหยวนอีกด้วย ซึ่งถังหยินก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเหล่านี้ไปเอาข่าวการสังหารล้างเมืองมาจากไหน แต่เขาเดาว่านี่น่าจะเป็นการปล่อยข่าวลวงเพื่อให้พวกชาวเมืองหวาดกลัว
เขาสูดหายใจแล้วพูดขึ้น “กองทัพเทียนหยวนไม่ฆ่าล้างเมืองหรอกน่า อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยคิดจะฆ่าคนเฟิงด้วยกันนะ”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วถาม “เจ้ารู้ได้ยังไง ?”
ถังหยินยิ้มให้ “เพราะข้าเคยเห็นมันมาก่อนน่ะสิ ถ้าเป็นพวกชาวเฟิงด้วยกัน กองทัพเทียนหยวนจะไม่ยุ่งเลยแม้แต่นิดเดียว”
“แต่ว่า…”
พวกชาวเมืองกำลังครุ่นคิด แล้วพวกทหารก็ตะโกนเข้ามา “พวกเจ้าคุยอะไรกัน ? บอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าคิดหนีข้าจะหักขาเจ้าทิ้ง !”
ทุกคนกลัวจนหัวหดแล้วไม่กล้าพูดอะไรต่อ
ณ ทางเหนือของเมือง
ถังหยินและชาวเมืองอีก 30 คนถูกพาตัวมาที่นี่ ซึ่งเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็ได้เห็นเข้ากับก้อนหินและท่อนไม้บนกำแพง นอกจากนี้ มันก็ยังมีเครื่องยิงหินอยู่ด้านบนที่สามารถเขวี้ยงของหนัก ๆ เข้าใส่ผู้รุกรานได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ! เช่นเดียวกับที่ด้านในของประตูเองก็มีท่อนไม้ขวางอยู่หลายสิบท่อน เพื่อเสริมการป้องกันให้กับกำแพงเมือง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมกองทัพเทียนหยวนถึงยังตีเมืองไม่แตกเสียที !!!
ถังหยินกำหมัดแน่น ก่อนที่แม่ทัพเปิงจะปรากฏตัวออกมา นายกองที่เห็นแบบนี้ก็รีบทำความเคารพ “ท่านแม่ทัพหลี ข้าพาทหารมาเสริมแล้วขอรับ !”