บทที่ 303
บทที่ 303
เมื่อตกกลางคืน ถังหยินและชาวเมืองอีกหลายคนถูกจัดตำแหน่งไว้บนกำแพงเมืองอีกครั้งเพื่อเฝ้าดูค่ำคืนนี้ และนี่ ก็คือสิ่งที่เขาต้องการ !!!
เขาและผู้ใต้บังคับบัญชากว่ายี่สิบคนยืนเฝ้าอยู่เหนือหอคอยประตูเมือง พอตกดึกชายหนุ่มก็ได้รวบรวมคนโดยรอบเข้ามาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ท่อนไม้และก้อนหินบนกำแพงเมืองมีไม่พอ ช่วยไปเอาจากข้างล่างขึ้นมาที !”
ชายหนุ่มเป็นผู้นำของคนเหล่านี้ และแม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจกับคำสั่งที่ได้รับ ทว่าพวกเขาก็ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
…พวกทหารใต้บัญชาถังหยินได้แต่ตอบรับอย่างอ่อนล้า ก่อนจะลากร่างกายที่หนักอึ้งของพวกเขาไปตามกำแพงเพื่อนำท่อนไม้ซุงและหินขึ้นมา
หลังจากส่งคนทั้งหมดออกไป ถังหยินก็พลันมองไปทางซ้ายและขวาเพื่อดูว่าทหารเปิงที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปแค่ไหน ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาแล้วรีบฉีกผ้าออกจากชุดที่ใส่ เพื่อนำไปเขียนข้อความ ‘อย่าโจมตีทางเหนือของเมืองในวันพรุ่งนี้’ แล้วจึงนำไปผูกกับลูกธนูให้แน่น
หลังจากทำทุกอย่างแล้วเขาก็มองไปรอบ ๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าทหารยามยังคงอยู่ที่นั่น ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า รีบหยิบคบเพลิงเหวี่ยงไปมาในอากาศทันที
การกระทำของเขาทำให้ทหารเปิงทั้งสองด้านของเมืองถูกบังสายตาเอาไว้ และถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็คงจะไม่เห็น แต่ด้านนอกเมืองมันสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ด้วยในความมืดเช่นนี้ คงยากนักที่จะมองไม่เห็นเปลวไฟที่ส่องสว่าง
หลังจากเขย่าคบเพลิงสักพัก ถังหยินก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านล่าง เป็นคนที่ถือไม้และหินที่กำลังขึ้นมานั่นเอง ! ดังนั้นเขาเลยวางคบเพลิงลง ก่อนจะคว้าคันธนูที่อยู่ข้าง ๆ แล้วยิงธนูเล็งไปที่ท้องฟ้านอกเมือง !
“ฟิ้ว !”
ลูกธนูพุ่งทะลวงสายลมและบินออกจากเมืองไป
ถังหยินเหวี่ยงคบไฟไปรอบ ๆ โดยไม่ดึงดูดความสนใจของกองทัพเปิงได้ก็จริง แต่เสียงลูกธนูนั้นคงยากที่จะกลบเกลื่อนได้ ดังนั้นทันทีที่ยิงออกไป ก็พลันมีคนจากทั้งซ้ายและขวาวิ่งมา ก่อนที่พวกเขาจะก้มมองธนูยาวในมือของชายหนุ่มแล้วร้องถาม “เจ้าเป็นคนยิง ?”
ถังหยินเตรียมข้อแก้ตัวเอาไว้แล้ว สีหน้าของเขาจริงจังขณะที่พูด “ข้าเห็นเหมือนเงาอะไรซักอย่าง ก็เลยยิงออกไป !”
“หืม ?” ทหารโดยรอบทั้งหมดมองไปทางด้านนอกของเมือง ที่มืดสนิท ซึ่งพวกเขาก็ล้วนแต่มองไม่เห็นอะไรเลย ดังนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเงาของมนุษย์ !
หลังจากมองไปรอบ ๆ พวกเขาก็ยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนเป็นทหารคนหนึ่งที่พ่นลมหายใจและพึมพำออกมา “แล้วเห็นอะไรไหม”
“อืม ?” ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่แม่ทัพหลีบอกว่าไม่ว่ายังไงก็ห้ามให้อะไรผ่านไปได้”
โดยไม่รอให้เขาพูดจบ ทหารรอบข้างก็พากันโบกมืออย่างไม่เต็มใจและพูดว่า “เอาเถอะ ช่างมัน จำเอาไว้นะว่าเจออะไรที่น่าสงสัยก็ให้ยิงได้เลยทันที เข้าใจไหม !”
“ขอรับ !” ถังหยินพยักหน้า
ในเวลานี้ผู้คนต่างก็ช่วยกันกลิ้งซุงและหินขึ้นมา ทำให้พวกเขาเหงื่อท่วมตัวเหนื่อยจนหอบหายใจเข้าออกอย่างหนัก และไม่มีแรงที่จะจัดการอะไรต่อแล้ว ทำใหถังหยินกลอกตาไปมา ก่อนที่จะลดเสียงลงและพูดกับพวกทหารใต้บัญชาที่กำลังถือของหนักว่า “พักก่อนเถอะ ให้หายเหนื่อยก่อนค่อยจัดการต่อ แต่ก็อย่างที่เห็น พวกเจ้าเตรียมใจได้เลย ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นทั้งตอนกลางวันและกลางคืนจะโหมใส่เราจนกว่าจะตายอยย่างไม่มีการปราณี !”
คำพูดของถังหยินทำให้ทุกคนรู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขานั่งลงที่พื้นและเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าและถอนหายใจด้วยความกังวล
ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ ฝูงชน และพูดออกมาเบา ๆ “ถ้ายังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าเราจะไม่ถูกสังหารโดยกองทัพเทียนหยวน เราก็จะต้องตายเพราะเหนื่อยล้าอยู่ดี !”
“ เฮ้อ ! ไม่มีทางอื่นแล้ว ! จะหนีก็ไม่ได้ จะสู้ก็ไม่ได้”
ถังหยินดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองที่ชอบธรรมขณะที่เขากล่าวว่า “ถ้าไม่มีทางเลือก เราคงต้องยอมจำนนต่อกองทัพเทียนหยวน !”
“หา ?”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ผู้คนโดยรอบก็ตกใจ พวกเขารีบลุกขึ้นยืน พร้อมกับเดินไปหาถังหยินและปิดปากของชายหนุ่มเอาไว้ จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ อย่างประหม่า หลังจากเห็นว่ากองทัพเปิงรอบข้างไม่ได้ยินอะไรเลย พวกเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ถังชู เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? หากพวกทหารได้ยินมันไม่ได้เกี่ยวข้องแค่กับพวกเรา แต่ยังกล่าวพาดพิงถึงครอบครัวของเราด้วยนะ !”
“จะมีชีวิตอยู่แล้วยอมเป็นทาสของเกิงฉวนไปตลอดกาลอย่างนั้นเหรอ ถ้าเป็นข้า ข้าจะสู้ไปหาทางออกใหม่ดีกว่า !” ถังหยินเหล่ตาและมองไปที่ผู้คนรอบตัว
พวกเขาลดศีรษะลงอย่างครุ่นคิด ท่าทางนิ่งเงียบ หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนพึมพำเสียงเบา “พวกเราอายุเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น แล้วแบบนี้จะไปเข้าร่วมกับกองทัพเทียนหยวนได้อย่างไร แค่คิดจะออกไปจากเมืองยังทำไม่ได้เลย !”
ถังหยินหัวเราะและพูดเบา ๆ “จะมีโอกาสเสมอ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา !”
ผู้คนมองไปที่ถังหยินด้วยความสับสน พวกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายแตกต่างจากพวกตน แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขาคืออะไร
ในอีกด้านหนึ่ง ร่างเงาของถังหยินก็อยู่ในจวนของยูจุน ในขณะที่ยูจุนได้ส่งคนรับใช้ไปทางตะวันตกของเมือง เพื่อเชิญตูฉิงมาที่นี่
ถ้าเป็นคนอื่น ตูฉิงคงจะไม่ตอบรับคำเชิญในเวลานี้ เพราะสถานการณ์ในปัจจุบันที่ตึงเครียดมาก และเขาเองก็เป็นผู้พิทักษ์เมืองฝั่งตะวันตก ดังนั้นเขาจะไปได้อย่างไร ! แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคนรับใช้ของยูจุนที่มาเชิญ ตูฉิงก็พลันตอบตกลงอย่างง่าย ๆ ในทันที
ระหว่างทาง ตูฉิงก็ได้แต่สงสัยเกี่ยวกับเหตุผลที่ยูจุนเรียกหา เขาจึงถามคนรับใช้ผู้นี้ แต่ทว่าคนรับใช้ตรงหน้าก็ดูจะไม่แน่ใจนัก เลยทำให้ตูฉิงไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีก
เมื่อเขามาถึงและเห็นยูจุน ตูฉิงก็รีบก้าวไปข้างหน้าและจับมืออีกฝ่ายพร้อมพูดว่า “เรียกหาข้ามีเรื่องอะไร ?” เขาเป็นคนกักขฬะ ดังนั้นจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา
ทว่ายูจุนเพียงยิ้มให้เขาและโบกมือทักทาย “เชิญนั่งก่อน !”
“ข้าไม่มีเวลามาพักผ่อนหรอกนะ !” ตูฉิงส่ายหัวและพูดว่า “สถานการณ์ตึงเครียดมากตอนนี้ ข้าไม่สามารถละจากฝั่งตะวันตกได้แม้แต่วินาทีเดียว !” แม้ว่าเขาจะพูดอย่างนั้น
แต่เขาก็ยังคงนั่งลงหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะและดื่มชาทั้งหมดโดยไม่ได้หันไปมอง จากนั้นก็เช็ดปากและยิ้มให้คนรับใช้ข้าง ๆ “ข้าขอชาอีกถ้วย !”
ยูจุนเคยชินกับพฤติกรรมไม่สุภาพแบบนี้แล้ว หลังจากที่คนรับใช้ยกชามาให้ เขาก็โบกมือและส่งคนรับใช้ออกไปก่อนจะถามด้วยสีหน้าจริงจัง “สถานการณ์ฝั่งตะวันตกเป็นอย่างไร ?”
ตูฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ! การโจมตีของเทียนหยวนยังดำเนินต่อไป และกองทัพของเราก็บาดเจ็บล้มตายมากขึ้น ยิ่งเราต่อสู้มากเท่าไหร่ก็มีคนน้อยลงเท่านั้น และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าก็บอกได้เลยว่าในอีก 3 วันเราต้องแย่แน่ !”
“โอ้ !” ยูจุนตอบเบา ๆ จากนั้นก็ถามอย่างสงสัย “ข้าได้ยินมาว่าท่านกำลังรับสมัครคนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่ใช่หรือ ?”
“เฮ้อ ! ไม่ต้องพูดอีกแล้ว !” ตูฉิงกล่าวว่า “ในตอนแรกก็พอจะมีมาบ้างหรอก แต่ 2 วันที่ผ่านมานี้กลับไม่มีอีก เช่นเดียวกับอาวุธทั้งหลายที่ขาดแคลน !” หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่งเขาพูดต่อ “ถ้าท่านแม่ทัพยอมจำนน เราคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ แต่เมื่อมาถึงตรงนี้ เราก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
“สุดท้ายแล้วพวกเราก็คงได้ตายกันหมดอยู่ดี !” จากคำพูดของตูฉิง ยูจุนก็เข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปตรง ๆ “การบังคับให้ประชาชนผนวกกองทัพเป็นการกระทำที่โง่ที่สุด นอกจากจะไม่ได้แก้ปัญหาเลยแม้แต่น้อยแล้ว มันก็ยังทำให้พวกเขาต้องตายเปล่าด้วย ! ดังนั้นข้าคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว !!!”
ร่างกายของตูฉิงสั่นสะท้าน เขาเงยหน้าขึ้นอย่างกังวลและมองไปที่ยูจุนด้วยความตกใจ ปากพึมพำ “ท่านหมายความว่ายังไง ?”
“ยอมจำนนต่อกองทัพเทียนหยวน !” ยูจุนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“ แม่ทัพใหญ่ไม่ได้คิดวางแผนที่จะต่อสู้กับกองทัพเทียนหยวนแต่อย่างใด เขาแค่กำลังพยายามขุดหลุมฝังศพของตัวเองก็เท่านั้น !”
แม้ว่าตูฉิงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับยูจุน แต่เขาก็ยังตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย ทำให้มือที่ถือถ้วยน้ำชาสั่นสะท้านจนเกือบตก ปากพูดตะกุกตะกัก “ยอมจำนนต่อกองทัพเทียนหยวน ?”
“ใช่ ! ต่อให้ติดตามเกิงฉวนไปก็ใช่ว่าเราจะมีโอกาสรอดมากขึ้น นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว !”
ตูฉิงตกตะลึงไปชั่วขณะ “ไม่ ! ไม่อย่างแน่นอน ข้า… ถ้าอย่างนั้นเกียรติมันจะไปมีค่าอะไรกัน ?”
ยูจุนพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “นี่ไม่ใช่เพื่อเกียรติ แต่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า ! นอกจากนี้แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้คิดเพื่อตัวเอง แต่จะไม่ทำเพื่อครอบครัวของเจ้าจริง ๆ เหรอ ? เมื่อกองทัพเทียนหยวนโจมตีเข้ามาได้สำเร็จ คงไม่ต้องพูดถึงเจ้าเลย เพราะแม้แต่ครอบครัวของเจ้าเองก็ย่อมไม่มีทางที่จะรอดอย่างแน่นอน !”
“นั่นก็… ?” ด้วยนั่นคือความจริง ทำให้ทัศนคติอันสูงส่งของตูฉิงพังทลายลงอย่างรวดเร็ว
ถูกต้อง ! มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่กองทัพเทียนหยวนจะเข้าเมืองได้ ซึ่งตัวเขานั้นก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ด้วยอย่างมากเขาก็แค่ตายในสนามรบและเสียชีวิตในฐานะแม่ทัพ แต่แล้วครอบครัวของเขาเล่า ? กองทัพเทียนหยวนจะไว้ชีวิตพวกเขาหรือ ?
ถังหยินไม่ใช่คนที่มีเมตตา ย้อนกลับไป มีทหารและกองทัพกี่คนที่ถูกทำลายด้วยน้ำมือของกองทัพเทียนหยวน ? ตูฉิงสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ หัวสมองตื้อไปหมด
ยูจุนยังไม่ได้พูดในเวลานี้ ปล่อยให้เขาพิจารณาและชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบ
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ตูฉิงก็พลันเงยหน้าขึ้น ก่อนจะกุมมือแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ! แต่แม้ว่าข้าจะมีใจที่จะยอมจำนนต่อกองทัพเทียนหยวน ทว่าก็ไม่ได้ความว่าพวกมันจะเชื่อใจข้าเสียหน่อย ! อีกอย่าง เจ้าเชื่อใจข้าถึงเพียงนี้เลยหรือ ถึงกล้าเอาเรื่องพวกนี้มาบอกข้า”
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่สามพูดออกมาจากด้านหลัง “ท่านไม่ต้องกังวลหรอก !”