บทที่ 325
บทที่ 325
เมื่อเห็นเช่าฟ๋างนั่งลงแล้วคุยไปเรื่อยเปื่อย ตงเฉิงจึงพูดเข้าประเด็น “ฝ่าบาท ท่านมีอะไรหรือเปล่า ?”
เช่าฟ๋างกำลังรอโอกาสนี้อยู่พอดี “ท่านตง เสด็จพ่อของข้าเองก็แก่มากแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาทที่จะสืบบัลลังก์ต่อสักที ท่านรู้ความหมายของมันหรือไม่ ?”
ตงเฉิงงุนงงแล้วประกบมือให้ “ต้องขออภัยจริง ๆ ที่ข้ามิอาจออกความเห็นในเรื่องนี้ได้”
เช่าฟ๋างเกาหัว “พวกเราแค่พูดคุยกันเท่านั้น ไม่มีอะไรหรอก”
ตงเฉิงมองสีหน้าอีกฝ่ายแล้วก็หัวเราะในใจ ในฐานะของเสนาบดีที่อยู่มาเนิ่นนานทำให้เขาพอจะเดาอะไรได้ เพราะตามปกติแล้วเช่าฟ๋างนั้นมักจะทำตัวเย็นชากับเขามาตลอด แต่ในวันนี้กลับมาหางั้นหรือ ? เขาครุ่นคิดก่อนจะสั่งพวกข้ารับใช้ออกไปให้หมดและพูด “บางทีฝ่าบาทอาจจะกำลังลังเลอยู่ก็ได้”
เช่าฟ๋างขบริมฝีปากพูด “ถ้างั้นในความคิดของท่าน ใครกันที่จะได้บัลลังก์ไป ?”
ตงเฉิงไม่ได้คิดอะไรมาก “องค์ชายสาม เช่าโป๋วคือคนที่จิตใจอ่อนโยนที่สุด เขาเป็นที่จดจำทั้งในและนอกแคว้น ข้าคิดว่าจะไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่าเขาแล้ว”
สีหน้าของเช่าฟ๋างเปลี่ยนไป ก่อนจะกลับมาเป็นแบบเดิม เขาฝืนยิ้มออกมา
ตงเฉิงมองเกมขาดมาก ชายแก่ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ครั้งแรกมันก็ขม แต่สุดท้ายแล้วมันก็หอม ช่างเป็นของที่ดีจริง ๆ”
เช่าฟ๋างไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะคุยเรื่องน้ำชาสักเท่าไหร่ ตงเฉิงคือขุนนางที่สำคัญที่สุดของเสด็จพ่อ และถ้าหากอีกฝ่ายคิดว่าเสด็จพ่อของเขาจะมอบบัลลังก์ให้กับเช่าโป๋ว เขาก็เริ่มรู้สึกหมดหนทาง
เช่าฟ๋างถอนหายใจแล้วพยักหน้าให้ “ข้าต้องขอโทษด้วยที่มารบกวนท่าน ข้าไปก่อนล่ะ” ก่อนที่เขาจะออกไป ก็เป็นซงหยวนที่เข้ามาคว้าจับแขนเสื้อเขาไว้พร้อมกับส่ายหัวเป็นนัยยะให้อยู่ต่อ
ตงเฉิงเพิ่งคุยถึงเรื่องน้ำชาไป แต่สำหรับซงหยวนแล้วเหมือนกับเขากำลังพูดถึงเช่าฟ๋างอยู่ ถ้าหากองค์ชายรองกลับออกไปก่อนที่จะเข้าใจความหมายของตงเฉิงได้ เขาก็อาจจะพลาดโอกาสที่ดี่ที่สุดไป
เมื่อเห็นดังนั้น เช่าฟ๋างก็ครุ่นคิดก่อนจะกลับมานั่งเช่นเดิม
จากนั้นตงเฉิงก็ถามอย่างสงสัย “ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะกลับแล้วหรือ ?”
“ไม่หรอก ข้าแค่ยืดเส้นยืดสายเท่านั้น !” เช่าฟ๋างยิ้มให้
ตงเฉิงมองไปยังซงหยวนที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่าย เขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย จึงยิ้มออกมาและพูด “ข้าขอถามฝ่าบาทได้ไหมว่าเขาคนนี้คือใคร ?”
ซงหยวนรีบตอบก่อนทันที “ข้าคือซงยี่ ยินดีที่ได้พบท่านเสนาบดีตง”
ซงยี่ ? ตงเฉิงส่ายหัวเพราะไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ซงหยวนถามต่อ “ข้ามีบางอย่างสงสัยอยู่ ไม่รู้ว่าท่านจะอนุญาตให้ข้าถามหรือไม่ ?”
“ว่ามาเลยซงยี่”
ซงหยวนหุบรอยยิ้มทันที “ข้าอยากรู้ว่าท่านตงคิดเช่นไรกับการที่เช่าโป๋วได้เป็นผู้สืบบัลลังก์ต่อ ?”
ตงเฉิงกะพริบตาด้วยไม่คิดว่าจะโดนคำถามนี้ เขามองอีกฝ่ายอยู่นานก่อนจะก้มหน้าลงไป
เช่าฟ๋างเองก็ฉลาดพอควร เขารู้แล้วว่าหากตงเฉิงสนับสนุนเช่าโป๋วจริงทำไมเขาจะต้องลังเลในการตอบคำถามนี้อีกล่ะ ?
คิดได้แบบนั้นดวงตาของเช่าฟ๋างก็ลุกวาวแล้วมองซงหยวนด้วยความดีใจ
ทุกคนรอสายตารอคอยคำตอบจากตงเฉิง
หลังจากนั้น เสนาบดีแก่ก็พลันเงยหน้าขึ้นมา “ฝ่าบาทคิดว่าพวกเปิงเป็นเช่นไร ?”
“แคว้นเปิงงั้นหรือ ?” เช่าฟ๋างมีสีหน้าตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“มันคือแคว้นเฟิงในตอนนี้”
เช่าฟ๋างส่ายหัว “ซ่งเทียนฆ่าอ๋องคนก่อนแล้วสถาปนาตนเองเป็นอ๋องภายใต้การสนับสนุนของพวกหนิง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ใช่อ๋องที่แท้จริงอยู่ดี”
ตงเฉิงไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะนึกได้ขนาดนี้ เขาดีใจมากแล้วพูดต่อ “เมื่อครู่ซงยี่ถามข้าเกี่ยวกับความรู้สึกที่เกี่ยวกับเช่าโป๋ว แล้วคำตอบของข้าเองก็คือ ข้าเกรงว่าแคว้นโมในวันนี้จะเป็นของพวกหนิงในวันหน้า”
เช่าฟ๋างที่กำลังจะจิบชาก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจจนทำชาหกลงบนตัวเขาเอง
เมื่อพวกทหารเห็นแบบนั้น พวกเขาก็พลันวิ่งเข้ามาจะช่วยเช็ดเสื้อ ทว่าก็เป็นเช่าฟ๋างที่โบกมือไล่ไปพร้อมกับลุกขึ้นประกบมือให้กับตงเฉิงแล้วก้มหัวให้อย่างนอบน้อม “คำพูดของท่านช่างหลักแหลมยิ่ง สมแล้วที่เป็นเสาหลักของราชสำนัก”
นี่เป็นเรื่องที่หายากมากสำหรับการที่องค์ชายจะก้มหัวให้กับขุนนาง
ตงเฉิงที่เห็นแบบนั้นรีบหลังถอยออกมา ก่อนจะพูดอย่างตื่นตระหนก “ฝ่าบาท ท่านทำอะไรน่ะ ? ท่านกำลังจะทำให้ข้าเดือดร้อนนะ !”
ดวงตาของเช่าฟ๋างแดงก่ำแล้วพูดต่อ “ความทะเยอทะยานของพวกหนิงนั้นไม่ได้หยุดอยู่ที่พวกเฟิง แต่มันหมายถึงพวกเราด้วย ถึงกระนั้นพวกขุนนางในนี้กลับเอาแต่เห็นดีเห็นงามกับมัน มีเพียงท่านเท่านั้นที่เห็นต่างออกไป ท่านช่างหลักแหลมยิ่ง !”
คำพูดของเช่าฟ๋างทำให้ตงเฉิงตะลึงมาก และคิดว่าเขาเองก็ดูแคลนองค์ชายรองมากเกินไป “ฝ่าบาทจริงจังเกินไปแล้ว อย่างน้อยในราชสำนักของเราก็ยังมีท่านอีกคนที่คิดเช่นเดียวกับข้า”
ตลอดเวลามานี้ตงเฉิงพยายามเก็บความคิดของตัวเองเอาไว้เพื่อรอคอยโอกาสที่จะแสดงมันออกมาต่อหน้าคนที่ถูกต้อง เขาไม่คิดจะเสนอความเห็นใด ๆ ต่อเรื่องในราชวงศ์อยู่แล้ว จนกระทั่งในเวลานี้
องค์ชายใหญ่เกิดมาตาบอด ทำให้เขาไม่สามารถเป็นอ๋องได้ องค์ชายสาม เช่าโป๋ว แม้ว่าจะเป็นคนที่เก่งกาจ แต่ก็เหมือนกับอ๋องในตอนนี้ เขาทั้งขาดความมั่นใจแถมยังถูกชักจูงง่ายอีกด้วย ถ้าหากเขาได้ลูกน้องที่ดีทุกอย่างก็จะดีขึ้นตาม แต่ถ้าหากเขาได้คนเลวทรามมาเป่าหูทุกวัน ราชสำนักจะต้องพินาศแน่ ส่วนองค์ชายคนอื่น ๆ เองก็อ่อนแอไร้น้ำยา ทำให้ในใจของตงเฉิงไม่มีใครเหมาะจะเป็นอ๋องคนต่อไปได้เลย
นี่จึงทำให้เช่าฟ๋างได้รับความเคารพจากตงเฉิงทันที
แน่นอนว่า เช่าฟ๋างเองก็ไม่เคยคิดว่าพวกหนิงจะเป็นภัยจนกระทั่งถังหยินเข้ามา เพราะถ้าหากพวกหนิงสามารถจัดการพวกเฟิงได้ ในอนาคตแคว้นโมเองก็ไม่รอดพ้นสายตาพวกนั้นไปแน่
ตงเฉิงรีบพูดต่อทันที “ฝ่าบาทช่างเต็มไปด้วยความสามารถยิ่ง แคว้นโมจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน ข้าน้อยยินดีที่จะสนับสนุนท่าน !”
เช่าฟ๋างดีใจสุดขีดจนนึกว่าเขากำลังฝันอยู่
การได้ตงเฉินมาสนับสนุนนั้น ไม่ใช่แค่เพียงได้ชายแก่คนหนึ่งเท่านั้น แต่ยังได้กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ในราชสำนักด้วย เพราะอำนาจและอิทธิพลของตงเฉิงเองก็มีไม่น้อยเลย ด้วยจะมีขุนนางมากมายพร้อมที่จะเห็นด้วยกับเขาในทันที
เช่าฟ๋างก้มหัวให้อีกครั้ง “ด้วยการสนับสนุนของท่าน พวกเราจะต้องทำทุกอย่างสำเร็จเป็นแน่แท้” เขาพยายามกดความรู้สึกดีใจเอาไว้ให้ได้มากที่สุด “แต่ว่าเสด็จพ่อของข้าเขาได้เลือกเช่าโป๋วไปแล้วไม่ใช่หรือ ?”
ตงเฉิงกล่าว “มันก็เป็นแค่การตัดสินใจฝ่าบาท ตราบใดที่ยังไม่มีราชโองการ ทุกอย่างก็เปลี่ยนกันได้”
เช่าฟ๋างเริ่มมีกำลังใจมากขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น “แล้วท่านมีความคิดที่จะเปลี่ยนใจเสด็จพ่อข้าหรือไม่ ?”
ตงเฉิงพยักหน้าให้ “อย่าเพิ่งรีบร้อนฝ่าบาท เรื่องนี้ต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป”
เช่าฟ๋างมั่นใจขึ้นมากแล้ว และไม่คิดจะถามอะไรต่อ “ถ้าหากข้าได้เป็นอ๋องล่ะก็ ข้ารับประกันเลยว่าข้าจะทำให้ตระกูลตงของท่านมีอำนาจและความรุ่งเรืองตลอดกาล !”
คำสัญญานี้มันดูใหญ่เกินจริง แต่ตงเฉิงก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว เขาเพียงยิ้มออกมา “ขอบพระทัยยิ่งฝ่าบาทสำหรับเรื่องนั้น แต่ข้าน้อยนั้นไม่ได้สนใจในเรื่องเงินตราหรอก ข้าแค่ไม่อยากเห็นพวกหนิงเข้ามาป้วนเปี้ยนในราชสำนักของเราก็เท่านั้น เช่นเดียวกับซ่งเทียนที่เป็นขี้ข้าพวกหนิง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกขุนนางพวกนั้นเลย”
เช่าฟ๋างนั่งนิ่งเมื่อได้ยินคำนั้น เปิดโอกาสให้ถังหยินและซงหยวนกล่าวพร้อมกัน “ถ้าท่านตงคิดจะต่อต้านพวกหนิงล่ะก็ ข้าก็จะร่วมช่วยพวกท่านเอง !”