บทที่ 114
หลังจากหมดเรื่องนี้ไปแล้ว ถังหยินก็ทำการเดินสำรวจตลาดต่อ และในระหว่างที่เดิน ชายหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้น
เขามองตามต้นเสียงไป และพบว่ามีโรงน้ำชาอยู่ไม่ไกลมากนัก ซึ่งต้นตอของเสียงก็มาจากที่นั่น
ดังนั้นถังหยินจึงเรียกให้ชิวเจิ้นตามเขาไป
โรงน้ำชานี้มี 2 ชั้นและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ด้านในมีเวทีที่กำลังเปิดการแสดงอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหยินเห็นอะไรแบบนี้ เขาเริ่มหาที่นั่งและดูภาพเหล่านี้ด้วยความสนใจ
บนเวทีนั้นถือได้ว่าปกติมาก เครื่องแต่งกายเองก็ไม่ได้หรูหรา ทว่าสังเกตจากลายผ้าแล้วก็ดูหายากพอสมควร
ฉากในตอนนี้คือตอนที่เมืองถูกรุกรานโดยมอร์ฟีส ทำให้ทุกคนดูโศกเศร้า
บรรยากาศเต็มไปด้วยความหมองหม่น ก่อนที่ชายชุดดำจะปรากฏตัวขึ้น และพาทหารเฟิงไล่ล่าพวกต่างชาติทีละคน !
ชิวเจิ้นยิ้มและกระซิบบอก “สหายถัง ท่านไปทำอะไรบนเวทีน่ะ !”
ถังหยินเงยหน้ามองอย่างตั้งใจ จนไม่ได้ยินเสียเสี่ยวเอ้อที่เข้ามาคุยกับเขา ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของชิวเจิ้นที่ต้องเป็นคนสั่งน้ำชาและขนมกินเล่นบางอย่างแทน
บนเวที กลุ่มชายชุดดำหาทางฝ่ามอร์ฟีสมาได้ ก่อนจะได้รับการสรรเสริญจากชาวเมืองทั้งหลาย แต่ทว่าก่อนที่งานเลี้ยงจะได้จัดขึ้นนั้น มันก็ได้มีกลุ่มคนโผล่ขึ้นมาแล้วรังแกชาวเมือง ทำให้พวกเขาต้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
ถ้าถังหยินไม่ได้ประสบพบเจอพวกนักเลงเหล่านั้น เขาก็คงนึกว่านี่เป็นแค่ละครไร้สาระ อย่างไรก็ตามเขาก็เริ่มคิดแล้วมองภาพตามสิ่งเหล่านี้ ก่อนจะเริ่มเข้าใจบ้างแล้วว่าชาวเฟิงในเขตปิงหยวนนั้น เกลียดชังทหารของตัวเองมากกว่าพวกต่างแดนเสียอีก
เขาตัดสินใจได้แล้ว สิ่งที่เขาจะทำเมื่อกลับไปอย่างแรกก็คือจัดการพวกชาติชั่วเหล่านี้ให้จงได้ !
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากทางเข้าร้าน จากนั้นก็เห็นกองทหารเฟิงวิ่งเข้ามาพร้อมหอกในมือ
นี่ไม่ใช่การแสดง แต่คือทหารของพวกเขาจริง ๆ
“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้ !” นายกองเดินออกมาแล้วชักดาบขึ้น ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ร้าน
ลูกค้าทุกคนรวมไปถึงนักแสดงเองก็หยุดลงด้วยความตะลึง พวกเขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้
เจ้าของโรงชาเป็นชายวัยกลางคนอายุ 50 เขาวิ่งเข้ามาแล้วถาม “เกิดอะไร…”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ ?” นายกองกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย “พวกเจ้าเล่นปาหี่อะไรกันอยู่ ? ทั้งหมดนี้มีแต่เรื่องโกหกทั้งนั้น ข้าขอสั่งปิดร้านเจ้าเดี๋ยวนี้”
สิ้นเสียงนี้ ลูกค้าในร้านต่างก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปทันที เพราะไม่ว่าพวกเขาจะไม่พอใจแค่ไหน ก็ไม่สามารถสู้กับอำนาจทางการได้อยู่ดี
เจ้าของร้านมีสีหน้าที่อึดอัดมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรอื่นได้
ถังหยินและชิวเจิ้นไม่ได้วิ่งหนี พวกเขากำลังเดาว่าใครคือเจ้าของหน่วยกองเหล่านั้น ทำไมถึงได้มีอำนาจบาตรใหญ่นัก ?
“พวกข้าทำอะไรผิดหรือ ?”
ในจังหวะนั้นก็ได้มีเสียงของหญิงสาวดังออกมาจากหลังเวที พร้อมกับตัวเจ้าของเสียงที่เดินออกมา
นางอายุ 20 ต้น ๆ เท่านั้น ผิวสีขาวอมชมพูงดงามดั่งดอกไม้ ความสวยของนางทำให้ใจทุกคนละลายไม่เว้นแม้แต่ถังหยินหรือชิวเจิ้น
นายกองผู้นั้นเองก็ตกอยู่ในภวังค์เช่นกัน ดวงตาของเขาจ้องนางไม่ละสายตา จนมือเผลอปล่อยคอเสื้อของเจ้าของร้าน
“เจ้าเป็นใครกัน ?” นายกองใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติก่อนที่จะพูดถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น
นางเมินเขาและเดินเข้าไปหาชายวัยกลางคน “ลุงซ่ง ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า ?”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” เจ้าของร้านส่ายหัวและมองนางสลับกับนายกอง “เจ้าไม่ควร…”
นางยิ้มให้เป็นนัยว่าไม่ต้องกังวล จากนั้นนางก็พูดกับนายกองคนนี้ “ข้าคือเจ้าของร้านนี้”
“งั้นดีเลย มากับข้าเดี๋ยวนี้ !” นายกองพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ทำไมล่ะ ?”
“โรงน้ำชาของเจ้ามีเจตนาร้าย จงใจแสดงละครหมิ่นพวกเราและปลูกฝังความกลัวลงไปในลูกค้าเหล่านี้”
หญิงสาวไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย นางกลับหัวเราะออกมาแทน “ร้านของข้าเปิดอยู่รอบเมืองแห่งนี้ ทำไมข้าจะไม่รู้เล่าว่ามีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นอยู่จริง ๆ”
“สามหาว !” นายกองผู้นั้นโกรธจัดและเตรียมจะไปจับตัวนาง
สีหน้าของนางกลายเป็นเย็นชาทันที “เจ้าช่างกล้าหาญนัก ถ้าอยากจะตรวจสอบละก็เชิญไปตรวจสอบตระกูลฟานดูสิ !”
“ตระกูลฟานไหนกัน ?” นายกองถาม
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น “เจ้าคิดว่ามีตระกูลฟานไหนอีกล่ะ ?”
สีหน้าของนายกองเปลี่ยนไปทันที
ถังหยินที่มองดูฉากนี้ด้วยความไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลที่พูดถึงคืออะไร แล้วทำไมพอพูดถึงแล้วท่าทีของพวกนายกองถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนั้นกัน ?
ทีแรกชายหนุ่มไม่พอใจที่พวกทหารเฟิงทำตัวเป็นศาลเตี้ยไล่ปิดกิจการของคนไปทั่วโดยที่ไม่มีความผิดชัดเจน แถมยังไปรังแกพ่อค้ากับคนอ่อนแออีก แต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าข้างเหล่าทหารพวกนี้แล้ว และไม่อยากจะเห็นลูกน้องตัวเองทำตัวอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสตรีวัย 20 แบบนี้
เขามองชิวเจิ้นอย่างสงสัย
เด็กหนุ่มกระซิบตอบ “หรือว่าเจ้าจะไม่รู้จักตระกูลฟานกัน ?”
เด็กหนุ่มพลันถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของถังหยิน และพูดต่อ “พวกเขาคือตระกูลร่ำรวยที่มีการค้าที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นนี้ !”
ชิวเจิ้นไม่ได้พูดเกินจริงเลย เพราะตระกูลฟานครอบครองกิจการทุกอย่างในแคว้นเฟิงตั้งแต่ร้านอาหาร โรงเตี๊ยม ร้านค้าเพชร ร้านขายของโบราณ และทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นกิจการอะไร ขอแค่ทำกำไรได้ก็จะขึ้นตรงกับตระกูลฟานไปเสียหมด และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ขุนนาง ทำให้ต้องพึ่งพาอำนาจจาก 4 ตระกูลใหญ่อยู่บ้าง แต่ก็ยังถือได้ว่ามีอำนาจที่สูงกว่าพวกพ่อค้าทั่วไป
นั่นจึงทำให้หญิงสาวสามารถทำอะไรก็ได้ แม้ว่านั่นจะเป็นการทำให้นายกองคนหนึ่งเสียหน้าก็ตาม
“ถ้าเจ้าฉลาดพอก็จงออกไปเสีย จงทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่งั้นแล้วอย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่เจ้าเมืองที่นี่ก็ไม่อาจรับมือข้าได้ด้วยซ้ำ” พูดจบนางก็เดินกลับไปหลังเวที
นายกองกำลังลังเลอยู่ ถ้าเขาจับนางไม่ได้ก็คงไม่มีหน้าที่จะกลับไปอีก ทว่าเขาก็ไม่อาจเลือกอะไรได้เลย ทำให้สีหน้าดูอึดอัดเป็นอย่างมาก
ถังหยินไม่รู้ว่าพวกฟานยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่การกระทำของนางก็เกินกว่าที่จะยอมรับได้
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทำท่าจะลุกขึ้น ชิวเจิ้นก็รีบเข้ามาห้ามไว้ “นายท่าน อดทนไว้ พวกเราไม่อาจเหยียบหางพวกเขาได้ ถ้ายังคิดอยากให้เมืองนี้เติบโตกว่านี้ !”
ได้ยินแบบนี้ ถังหยินก็ได้แต่อดกลั้นความโกรธเอาไว้ เขาบ่นพึมพำเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินกลับออกไป
ระหว่างที่เขาเดินผ่านกองทหารพวกนั้น ชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่าออกมาแล้วเดินออกจากร้านไป
เขาหันบอกกับชิวเจิ้นหลังเดินออกมา “สอบสวนเรื่องนี้ซะ ว่าพวกทหารมาจากหน่วยไหน พวกเขาเป็นใครกัน จัดการทุกอย่างและเปลี่ยนคนพวกนี้ออกไปเสีย !”
ชิวเจิ้นเข้าใจเรื่องนี้ทันทีและพูดขึ้น “รับทราบ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้ ว่าแต่เจ้าอยากจะเดินเล่นอีกไหม ?”
“ไม่เอาแล้ว กลับกันเถอะ” ถังหยินโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์
ชิวเจิ้นเห็นด้วย แต่ก็ยังแอบยิ้มออกมา
ชายหนุ่มเป็นคนที่ดุดันมาก แต่ก็แอบมีด้านที่งอแงอยู่บ้างบางเวลา ซึ่งมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เห็นได้บ่อย ๆ
ระหว่างทางกลับจวนที่พัก ถังหยินก็ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง ซึ่งชิวเจิ้นก็ได้อธิบายทุกอย่างให้เขาฟังถึงอำนาจที่แท้จริงของตระกูลฟาน