บทที่ 124
ฟานหมินอยู่ที่บ้านถังหยินมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และแม้ชายหนุ่มจะไม่ได้มาเข้ามาพบนางบ่อยนัก หากแต่หญิงสาวก็มักจะเป็นฝ่ายไปหาเขาเสียเอง
ไม่กี่วันต่อมา หลีเทียนกับอัยเจียที่ไปสืบข่าวในเมืองราชสีห์ก็กลับมาถึงเมืองเฮิง
ชายหนุ่มตื่นเต้นมากที่ได้ข่าวนี้ และทำการเรียกพวกเขาเข้าพบทันที
ก่อนที่ทั้งสองจะทันได้กล่าวทักทาย ถังหยินก็พูดอย่างรีบร้อน “พวกเจ้าสอดแนมเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ?”
พวกเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะได้เปลี่ยนชุดเครื่องแบบใด ๆ ทั้งนั้น แต่เมื่อได้ยินคำ พวกเขาก็พลันพยักหน้าตอบรับ “เรียบร้อยแล้วขอรับนายท่าน”
“ได้ความว่าเช่นไร ?”
ว่าแล้วอัยเจียก็เอาแผนที่หนังแกะออกมามอบให้ “นี่คือแผนที่อย่างละเอียดของเมืองราชสีห์”
ถังหยินอ่านมันอย่างตั้งใจ นี่คือแผนที่ฉบับที่วาดขึ้นโดยอัยเจีย ถึงลายมือและลายเส้นจะไม่สวยหรูแต่ก็ยังพอเข้าใจได้อยู่
ระยะห่างระหว่างเมืองราชสีห์และแคว้นเฟิงนั้นไม่ไกลกันมาก ห่างกันประมาณร้อยลี้ ถ้าหากขี่ม้าไปด้วยความเร็วสูงสุดก็น่าจะถึงที่หมายได้ในเวลาเพียงครึ่งวัน มันเป็นเมืองที่มีการป้องกันไม่แน่นหนามาก รวมไปถึงกองทหารที่น้อยนิดเพราะการสูญเสียครั้งก่อน
คาดการณ์ว่าเมืองราชสีห์นตอนนี้นั้นไม่มีกองทหารประจำการมากนัก น่าจะมีมากสุดอยู่ที่ 3 หมื่นนายเท่านั้น หากแต่เรื่องสำคัญที่สุดก็คือพวกเฟิงไม่คุ้นชินกับภูมิประเทศแถบนั้น ดังนั้นเวลาเดินทัพจึงอาจเสียเปรียบได้
ถังหยินมองมันสักพักในขณะที่ฟังทั้งสองอธิบายไปด้วย
เมื่อพวกเขาพูดจบ ถังหยินก็ถาม “มีป้อมของพวกมันอยู่แถวนั้นบ้างไหม ?” ถ้าหากเมืองเบสซ่ามีทหารป้องกันอยู่เพียงน้อยนิด งั้นแล้วมันก็ย่อมสามารถพิชิตได้โดยง่าย แต่ถ้าเกิดว่ามีป้อมปราการอยู่รอบ ๆ ด้วยล่ะก็คงลำบากน่าดู
นางไม่คิดว่าถังหยินจะถามเรื่องนี้ อัยเจียขมวดคิ้วพูดเสียงเบา “ข้าน้อยไม่ได้… ตรวจสอบมา”
หลีเทียนก้าวออกมาแล้วพูดขึ้นแทน “ห่างไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองราชสีห์มีเมืองขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ข้าคิดที่แห่งนั้นน่าจะมีทหารมอร์ฟีสอยู่เป็นแน่”
นางมองอีกฝ่ายด้วยความตะลึง ด้วยไม่คิดว่าเขาจะส่งทหารไปสอดแนมแถวนั้นมาแล้ว “ถ้าเจ้ารู้แบบนี้แล้วทำไมถึงไม่บอกข้ากัน ?”
หลีเทียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เพราะเขาเองก็ไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกัน “การสำรวจแค่เพียงพื้นที่รอบเมืองราชสีห์นั้นไม่เพียงพอ เพราะรอบ ๆ มันไม่มีอะไรเลย ดังนั้นข้าจึงลองไปตรวจสอบให้ไกลออกไปอีก เพื่อให้ได้แผนที่ที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการโจมตี”
อัยเจียไม่เชื่อและพยายามจะพูดต่อ หากแต่ถังหยินก็พูดขัดขึ้นเสียก่อน “หลีเทียนทำได้ดีมาก เจ้าทำได้ดีกว่าที่ข้าคาดไว้ในตอนแรกเสียอีก ส่วนอัยเจีย ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกในครั้งหน้านะ”
คำพูดนั้นย่อมหมายความว่าอัยเจียไม่เก่งเท่าหลีเทียน
นางไม่คิดจะยอมแพ้ หากแต่ตอนนี้ก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน เพราะความจริงได้ปรากฏขึ้นแล้ว มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความรอบคอบของหลีเทียนนั้นมีมากกว่านาง หญิงสาวพลันก้มหน้าเงียบ ยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไปแต่โดยดี
ถ้าว่ากันด้วยเรื่องความรอบคอบนางถือว่าสอบตก ทว่าหากพูดถึงในด้านความพยายามแล้วล่ะก็ นางนับได้ว่าเป็นที่หนึ่งไม่แพ้ใคร และก็เพราะเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้ถังหยินวางใจและเลือกทั้งสองเป็นคนหัวหน้าหน่วย
ชายหนุ่มมองแผนที่ในมือแล้วครุ่นคิด “ไปเรียกแม่ทัพทุกนายมาที่จวนข้าเพื่อวางแผนการรบเดี๋ยวนี้”
“น้อมรับบัญชา” ข้ารับใช้ที่ได้ยินก็รีบวิ่งออกไป
ไม่นานนัก ชิวเจิ้นและทุกคนก็มาถึงที่นี่
ตอนนี้ลูกน้องทั้งหมดได้มาที่จวนของถังหยินแล้ว และการประชุมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ชายหนุ่มรีบจัดแจงให้เอาเก้าอี้ออกไปทั้งหมด ก่อนจะจัดวางโต๊ะไว้กลางห้องโดยมีทุกคนยืมล้อมรอบไว้
เขาวางแผนที่ลงและมองทุกคน “แม่ทัพหลีและแม่ทัพอัยได้สอดแนมพวกมอร์ฟีสมาแล้ว เมืองของพวกมันอยู่ไม่ไกลจากเรามากนัก โดยมีเมืองหลักที่สำคัญคือเมืองราชสีห์ ทุกครั้งที่พวกมันจะเข้าถึงเขตเรามันจะต้องผ่านเมืองนี้ พวกเจ้าคิดว่าไง ?”
กู่เยว่กำหมัดแล้วกล่าว “นายท่าน ในเมื่อเมืองนี่เป็นเมืองสำคัญ งั้นแล้วพวกเราก็ควรที่จัดการมันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แม่ทัพกู่กำลังจะหมายความว่าให้พวกเราบุกเข้าไปในดินแดนพวกมันงั้นหรือ ?” จางโจวถาม
“ถูกต้อง !”
“ไม่ถูก !” จางโจวส่ายหัว “มันเสี่ยงเกินไป กองทัพเฟิงไม่เคยข้ามแดนไปฝั่งนั้นด้วยซ้ำ ถ้าพวกเราเข้ารุกรานมันในพื้นที่ที่ห่างออกไปหลายร้อยลี้แล้วเกิดผิดพลาดขึ้น นั่นย่อมหมายถึงหายนะเลยนะ” จางโจวมีประสบการณ์ในกองทัพมานานมากพอที่จะรู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวแย้งออกไป
แต่กู่เยว่เองก็เป็นคนที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ “ครั้งที่แล้วพวกเราล้มมันได้ที่เมืองชายแดน นายท่านให้พวกข้าเข้าไปข้างในเขตพวกมันตั้งหลายลี้ แต่มันก็ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลยนะ”
“นี่มันต่างกันนะ !”
“ไม่ต่างหรอก !”
ถังหยินสนับสนุนความคิดของกู่เยว่ เขาตั้งใจว่าจะซุ่มโจมตีเมืองนี้อยู่แล้ว แต่เขาเองก็รู้ดีว่าจางโจวจะต้องไม่เอาด้วยแน่นอน
เขากะพริบตาให้หลีเทียน ก่อนพูด “เมืองราชสีห์อยู่ไม่ห่างจากพวกเรามากนัก ถ้าหากเป็นทหารราบก็น่าจะไปถึงได้ใน 2 วัน ระหว่างทางเองก็ไม่มีป้อมหรือค่ายทหารพวกต่างแดนอยู่เลย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็ยังไม่เคยบุกเข้าไปสักครั้ง ดังนั้นพวกมันจึงคิดว่าเราไม่กล้าเข้าไปแน่ ๆ ข้าว่านี่จะใช้เป็นโอกาสที่ดีได้อยู่”
จางโจวยิ้มมุมปาก “แต่ถ้าเกิดว่าพวกเราเดินเข้าไปในเขตพวกมันแล้ว มีหรือที่มันจะไม่รู้ตัว ? ต่อให้เราทำได้ งั้นแล้วพวกเราจะกลับมายังไง ? ภายในเวลา 2 วันพวกต่างชาติพวกนั้นก็น่าจะเกณฑ์ไพร่พลมาล้อมจับพวกเราไว้หมดแล้ว…”
“ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่ !” ถังหยินตะโกนลั่น “พวกเราจะใช้ทหารม้าลอบเข้าไปโจมตีแล้วกลับออกมาในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน”
“หา ?” จางโจวตะลึง พวกเขาจะไปหาม้าที่เร็วแบบนั้นมาจากไหนกัน ?
ถังหยินยิ้มแล้วกล่าว “ข้าได้ทำการสั่งซื้อม้าจากแคว้นโมมาเรียบร้อยแล้ว ภายใน 3 วันมันจะมาถึง จากนั้นพวกเราจะส่งกองทัพทหารม้าเข้าไปโจมตีแล้วรีบกลับมาโดยเร็วที่สุด แม่ทัพจางท่านคิดว่าไง ?”
“ถ้าหากว่ามีม้าจากแคว้นโม ข้าว่าก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้อยู่บ้าง แต่ขืนพวกเรานำกองทัพทหารม้าไปเพียงหยิบมือ แล้วแบบนี้จะต่อต้านทหาร 3 หมื่นนายของพวกมันยังไงไหว ? พวกเราอาจสูญเสียมากทีเดียว !”
“ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าจะไปด้วย” ถังหยินพยักหน้า
จางโจวแทบจะไอเป็นเลือดเมื่อได้ยินแบบนี้ เขารู้ตัวดีว่าถังหยินเก่งกาจก็จริง แต่การให้นายท่านออกไปรบแบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
“นายท่าน ! ทหารม้าอาจใช้การได้ก็จริง แต่การที่ท่านจะบุกไปด้วยนั้นมัน…”
ชายหนุ่มส่ายหัว “ถ้าข้าอยู่ด้วย กองทัพก็จะไม่หวาดกลัวสิ่งใด ทำให้สามารถสู้ได้อย่างกล้าหาญ แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ชีวิตของทหารพวกเรานั้นก็ใช่ว่าจะด้อยค่า ต่อให้แม้เพียงหนึ่งชีวิตข้าก็ไม่อยากจะเสียไป”
จางโจวเงียบปากไปทันที คำพูดของถังหยินถูกต้องเกือบหมด ในฐานะของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วเขาไม่อาจลบล้างได้เลย
ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร ชายหนุ่มก็กล่าวต่อ “ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน งั้นแล้วข้าก็จะเป็นคนพาทหารม้า 3 พันนายบุกโจมตีเมืองราชสีห์เอง และให้มูฉิงนำกองทัพทหารม้าที่เหลืออยู่ไปตั้งซุ่มโจมตีจัดการพวกที่คิดจะหนีไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว”
มูฉิงไม่เข้าใจว่าทำไมถังหยินถึงจะให้เขาตั้งการซุ่มโจมตีทางตะวันตกเฉียงเหนือ
ถังหยินหัวเราะออกมาแล้วพยักหน้าให้ “เพราะทิศทางนั้นมีเมืองตั้งอยู่ ดังนั้นถ้าพวกมันหนีไป จะต้องหนีไปทางนั้นแน่ !”