จากนั้นไม่กี่วัน ถังหยินก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองเบสซ่าด้วยรถม้า
และนอกจากหยวนเปียวกับหยวนอู่แล้ว หยวนยู่กับชิวเจิ้นเองก็ไปกับเขาด้วยเช่นกัน
เหตุที่ชิวเจิ้นเดินทางไปกับเขา ก็เพราะกลัวว่าถังหยินจะทำเสียเรื่อง
ทว่า คนที่ไปกับพวกเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน กว่าครึ่งเป็นพวกโรนินและอีกครึ่งเป็นคนจากหน่วยลับของเขาเอง
เมืองเบสซ่าตั้งอยู่ทางเหนืออันหนาวเหน็บ ทำให้ชิวเจิ้นหนาวเสียจนต้องขดตัวอยู่ในรถม้าพร้อมเสื้อกันหนาวขนสัตว์สุดหรู ในขณะที่ถังหยินใส่เพียงชุดธรรมดาพร้อมกับเปิดม่านดูวิวรอบข้าง ที่เป็นหิมะและน้ำแข็งเต็มสองข้างทาง ชวนให้เขานึกถึงบ้านเกิด
ไม่นานนักขบวนทูตก็มาถึงชายแดนเบสซ่า ก่อนที่พวกทหารม้าเกราะหนักจะออกมาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พวกเขาพากันเดินผ่านมาได้โดยไม่เกิดเรื่อง และเพียงพริบตาด้วยพวกเขาก็มาถึงตัวเมืองเบสซ่าแล้ว
ขบวนของถังหยินหยุดลง ก่อนที่เขาจะลงจากรถม้ามา “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน ให้คนเข้าไปในเมืองกับข้าแค่คนเดียวก็พอแล้ว”
ทุกคนมองหน้ากัน การที่เขาคิดจะพาแค่หยวนยู่เข้าไปข้างในมันจะไม่อันตรายเกินไปหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ไหนจะชิวเจิ้นที่มาด้วยอีก ถ้าไม่คิดเอาเด็กหนุ่มเข้าไป งั้นแล้วจะให้เขามาทำไมกัน ?
ไม่มีใครเข้าใจ ยกเว้นแค่หยวนยู่
“ไม่ต้องสนใจหรอกน่า พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก็พอแล้ว” ถังหยินสั่งแล้วเดินไปกับหยวนยู่
การที่เขาทำแบบนี้มันเกินความคาดหมายของทั้งสองฝ่ายมาก ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ภายใต้การคุ้มกันของทหารม้าเกราะหนัก พวกเขาก็ได้เดินเข้าไปในเมืองอย่างง่ายดาย
ชาวเมืองทั้งหลายต่างพากันหยุดงานและเดินมาดูแม่ทัพเฟิงที่กำลังเดินทางมาที่นี่ บางคนถึงกับชี้นิ้วแล้วตะโกนเรียก ก่อนที่พวกเขาจะเห็นใบหน้าของถังหยินเต็ม ๆ และกรีดร้องออกมาราวกับกำลังกลัวอะไรบางอย่าง
ชายเลือดร้อนไม่รู้จะทำอย่างไรดีที่เห็นแบบนี้ เขามองไปยังถังหยินและยิ้มให้
ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา ก่อนที่หยวนยู่จะยิ้มออกมาแล้วถาม “ท่านเป็นใครกันแน่ ?”
“ข้าคือถังหยิน เจ้านายของเจ้าไง”
หยวนยู่ทำสีหน้าไม่พอใจแล้วก็เลิกมองเสีย
ถังหยินกล่าวต่อ “ทันทีที่ทำสัญญาเสร็จ เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับข้าหรอก ฝ่าออกไปคนเดียวได้เลย”
“แน่นอน มีแค่ไอ้โง่เท่านั้นแหละที่สนใจชีวิตเจ้าน่ะ” หยวนยู่พูดอย่างไม่ลังเล “เจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกผู้ใช้ศาสตร์มืดแบบพวกเจ้าถึงถูกลงโทษ ?”
“ทำไมล่ะ ?”
“เพราะพวกเจ้ามันหลักแหลมและชอบเล่นสกปรกไง”
“ผู้ฝึกยุทธ์ก็เหมือนกับคนทั่วไปนั่นแหละ ในสงครามจริง ๆ ใครมันจะคิดสู้แบบตรงไปตรงมากัน ?”
หยวนยู่ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่เถียง ยังไงเสียการต่อสู้มันก็เดิมพันด้วยชีวิตอยู่แล้ว ดังนั้นคงไม่มีใครอยากจะสู้กันด้วยพลังครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรอก
ณ ราชวังเมืองเบสซ่า
ระหว่างที่เหล่าขุนนางกำลังหารือกันอยู่ ถังหยินและหยวนยู่ก็เดินเข้ามา ทำให้พวกเขามีสีหน้าหวาดกลัวในพลัน ก่อนที่ใบหน้าจะดูโล่งใจขึ้นเมื่อเห็นทหารม้าของตัวเอง
พวกเขารีบเดินออกมาต้อนรับแล้วโค้งตัวให้ “ท่านใดคือแม่ทัพถังหรือ ?”
หยวนยู่ที่ไม่เข้าใจภาษามอร์ฟีสได้แต่ยืนงงอยู่แบบนั้น ผิดกับถังหยินที่ลงจากม้าแล้วกล่าวด้วยภาษาเดียวกัน “ข้าเอง”
ครั้งล่าสุดที่ถังหยินมาที่นี่ มีหลายคนในตอนนั้นได้เห็นการกระทำของเขา ทว่าตอนนั้นดันมีเกราะปกคลุมอยู่ ทำให้มองใบหน้าและรูปร่างไม่ชัดเจนนัก ทว่าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว
“ท่านถัง เข้ามานี่ก่อนสิ” พวกขุนนางรีบเชิญเขาเข้ามาข้างใน
ชายหนุ่มไม่หวั่นเกรงเลย เขาเดินเข้าไปอย่างสง่าผ่าเผยพร้อมกับหยวนยู่
ถังหยินเคยมาที่นี่แล้ว แต่ตอนนั้นมันวุ่นวายมากทำให้เขาไม่ได้สนใจ ทว่าตอนนี้ผิดกัน ทำให้เขามีเวลาสังเกตสิ่งของรอบตัว ก่อนที่จะพบว่าข้างในวังสวยงามยิ่งกว่าที่ไหน ๆ มันงดงามยิ่งกว่าวังของจักรพรรดิองค์ใดในโลกอีกด้วยกระมั้ง
เมื่อเข้าไปยังห้องโถงหลัก ราชาของเบสซ่า ‘ซานเชส วอน ปอช’ ก็กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ พร้อมกับน้องชายของเขา คนีส ฟอน ปอช ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
ทุกสายตาจับจ้องไปยังทั้งสองคนนี้ พร้อมกันนั้นก็ยังได้ใช้พลังตรวจสอบร่างกายพวกเขาไปด้วย
ไม่มีอะไรผิดปกติในร่างของถังหยิน แต่หยวนยู่นั้นแปลกออกไป พวกเบสซ่าตะลึงจนถึงที่สุดและไม่รู้ว่าระดับพลังของชายคนนี้สูงขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ คือสูงกว่าพวกเขาทุกคนในห้องนี้
ในเวลานี้ราชาต่างแดนจดจำถังหยินได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจะใส่เกราะอยู่แต่เขาก็จดจำจิตสังหารเมื่อครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี
ชายหนุ่มสบตากับซานเชส “ไม่เจอกันนานนะ สบายดีหรือเปล่า ?”
เมื่อถังหยินเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีลูกไม้อะไรแปลก ๆ เขาก็ปล่อยไปง่าย ๆ ในพลัน
ซานเชสถาม “ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าแม่ทัพถังจะคิดยังไงกับข้อเสนอของเรา ?”
“แน่นอนว่าข้าสนใจ แต่ข้ามีข้อแม้”
คนีสรีบแย่งพูดขึ้นมาก่อนพี่ชายตัวเอง “เจ้ายังจะกล้าพูดแบบนั้นอีกเหรอ ?”
ถังหยินมองเขาแล้วยิ้มให้ “อย่าพูดแบบนั้นสิ สำหรับพวกเราทั้งสองชาติแล้ว ไม่มีอะไรที่ตกลงกันไม่ได้หรอก ทำไมต้องรีบร้อนรนใจขนาดนั้นด้วยเล่า ?”
คนีสมองพี่ชายตัวเองก่อนจะถอยหลังกลับไป ไม่มีใครเห็นด้วยกับการสงบศึกในเมืองเบสซ่าแห่งนี้ ทว่าคนที่เสนอมันออกมาก็คือซานเชส
ราชาแก่โบกมือ “บอกเรามาได้เลย”
ถังหยินกล่าว “อันดับแรกคือห้ามมีทหารตามแนวชายแดนของทั้งสองชาติ อันดับสองคือเปิดเมืองให้พ่อค้าผ่านได้ สามคือเมืองเบสซ่าจะต้องชดใช้ในส่วนที่รุกรานพวกเราไป”
ทุกคนขมวดคิ้วกับคำร้องขอนี้ ที่มันช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน
ทว่าคนีสกลับดูโกรธมากจนตวาดลั่น “เจ้าคิดว่าพวกเราหวาดกลัวเจ้าใช่ไหม ?”
หยวนยู่ทำสีหน้าไม่เข้าใจ ก่อนที่เขาทำท่าจะลงมือ ทว่าก็ได้ชายหนุ่มที่รีบวิ่งเข้าไปคว้าข้อมือห้ามเอาไว้
ถังหยินกล่าวอย่างใจเย็น “ใจเย็นก่อนหยวนยู่”
ชายเลือดร้อนมองอีกฝ่ายอย่างดุดันก่อนจะปล่อยมือแล้วเดินกลับออกมา
“ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ งั้นแล้วพวกเราก็คงจะได้เจอกันในสนามรบล่ะนะ” ถังหยินกล่าว
“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้” คนีสยอมแพ้เพราะเห็นแก่เมืองตัวเอง ทว่าก็ยากอยู่ดีที่จะห้ามไม่ให้ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความโกรธ
ซานเชสรีบกล่าวขอโทษทันที “แม่ทัพถังอย่าเพิ่งโมโหไปเลย เราขอโทษแทนน้องของเราด้วย” จากนั้นเขาก็หันมาจ้องน้องชายตัวเองด้วยสายตาเดือดดาล
เมื่อเห็นว่าพี่ชายกำลังโกรธจัด คนีสก็ถอยหลังกลับไป
ซานเชสกลอกตาแล้วยิ้มให้กับถังหยิน “การสงบศึกเป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย เราเห็นด้วย”