3 วันก่อนหน้านี้ ถังหยินได้รับจดหมายที่บอกว่าจะมีขบวนคาราวานพ่อค้าเดินทางผ่านที่นี่ และขอให้พวกเขาช่วยตรวจค้น ด้วยในตอนนี้ทั้งกองทัพอยู่ในสภาพตื่นตัวเพื่อระวังภัยทุกเมื่อ จึงทำให้ทุกอย่างที่ผ่านเส้นทางนี้จะต้องได้รับการตรวจสอบ
เมื่อคิดถึงเนื้อความที่อ่านในตอนนั้น ถังหยินก็แอบขำ เพราะพวกพ่อค้าไม่น่าจะมีอะไรอันตรายอยู่แล้วนอกจากแก้วแหวนเงินทอง แต่เขาก็อดกล่าวออกมาไม่ได้ว่า “พวกเขานำเงินมาเท่าไหร่ ?”
หัวหน้ากองกลืนน้ำลายก่อนตอบ “นับไม่ถ้วนขอรับ”
“ว่าไงนะ ? พาข้าไปดูซิ” ถังหยินยืนขึ้นแล้วบอกกับอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินคำนั้น หัวหน้ากองจึงพาถังหยินไปยังหน้าประตูด่าน ที่เผยให้เห็นกองขบวนคาราวานเรียงรายมากกว่าร้อยคัน
“นายท่าน ได้โปรดดูนี่” นายทหารผู้หนึ่งกล่าว ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระโดดขึ้นไปบนรถม้าและเห็นกล่องที่บรรจุเงินทองมากมายอยู่ข้างในนั้น
รถม้าทุกคันมีกล่องพวกนี้อยู่มากจนเต็มคัน !
ถังหยินมองรถม้าที่จอดกันยาวเหยียดพวกนั้น พร้อมกับคิดว่าถ้าหากพวกตนเป็นโจรละก็ การจัดขบวนเช่นนี้มันก็นับว่าง่ายนักกับการปล้นชิง
เหมือนจะยังไม่แน่ใจ เขาจึงกระโดดขึ้นลงรถม้าหลายต่อหลายคันจนรู้แล้วแน่ชัดแล้วว่านี่เป็นเรื่องจริง ก่อนจะหยิบแท่งทองขึ้นมาแล้วเอานิ้วขูด ๆ ดู “ของจริงนี่นา”
เขากระโดดลงมาแล้วเรียกนายกองคนเดิม “ไปตามหัวหน้ากองคาราวานนี้มา”
นายทหารผู้หนึ่งพลันตอบรับแล้ววิ่งออกไป
ถังหยินอยากรู้ว่าใครกันนะที่มีเงินมากมายได้ถึงเพียงนี้
ไม่นานนักกลุ่มคนมากมายจากตรงกลางขบวนก็เดินทางเข้ามาหาเขา พวกเขามีพลังยุทธ์มากพอตัวทีเดียว จนทำให้สองพี่น้องฉางกวงเกิดความตื่นตัว เข้ามาคุ้มครองถังหยินซ้ายขวาทันที
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายวัยกลางคนอายุ 40 เสื้อผ้าของเขาดูธรรมดามากแต่กลับดูมีรัศมีแห่งความเป็นผู้นำเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาขาว ประดับไปด้วยหนวดสามเส้น ทั้งยังดูหล่อเหลาผิดอายุอีกด้วย
ถังหยินรู้สึกว่าคุ้นหน้าคุ้นตามากแต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน “ท่านคือหัวหน้าพวกเขาหรือ ?”
“ใช่แล้ว ท่านแม่ทัพล่ะ…?” ชายคนนั้นถามพร้อมก้มหัวให้
“ถังหยิน”
“ท่านแม่ทัพถังนี่เอง” ได้ยินชื่อของชายหนุ่มเขาก็มีสีหน้าดีใจทันที “ข้าคือฟานจู ยินดีที่ได้พบท่าน”
ฟานจู ? ถังหยินตะลึงงัน ชายคนนี้คือพ่อของฟานหมินเศรษฐีพันล้านเจ้าของกิจการมากมายในแคว้นเฟิงนี้เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงคุ้นหน้าคุ้นตาแบบนี้ และเมื่อได้สติ ชายหนุ่มก็พลันรีบก้มหัวให้ทันที “ท่านฟานนี่เอง ข้าต้องขออภัยด้วย !”
ไม่เกี่ยวว่าร่ำรวยแค่ไหน แต่แค่การที่อีกฝ่ายเป็นพ่อของฟานหมินก็ทำให้เขารู้สึกผิดที่พูดจาไม่ดีไปแล้ว
“ท่านถังก็กล่าวเกินไป บอกตรง ๆ เลยนะว่าข้าเองก็ลี้ภัยมาจากเมืองหยานเหมือนกันนั่นแหละ”
ถังหยินปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในทันที ที่แท้ขบวนยาวเหยียดทั้งหมดนี่ก็คือลูกน้องใต้อาณัติและสมบัติของอีกฝ่ายนี่เอง ทว่าชายหนุ่มไม่ได้คิดจะถามไถ่ต่อให้มากความ เขาเลือกที่จะยิ้มให้ก่อนพูดว่า “ท่านฟานไม่ต้องกังวลไป ข้ารับประกันความปลอดภัยของท่านได้ เพราะที่นี่คือมณฑลเทียนหยวนของข้า ตราบใดที่อยู่ในนี้ท่านจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน”
ฟานจูรู้ความสัมพันธ์ของลูกสาวตัวเองกับถังหยิน และแม้ว่าจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ถังหยินก็นับเป็นสามีของนางไปครึ่งตัวแล้ว
เมื่อผู้เป็นลูกเขยออกปากรับคำขนาดนี้ ชายวัยกลางคนก็จึงให้ถังหยินจัดการจัดเรียงเรื่องสมบัติทั้งหลาย ก่อนที่จะออกเดินทางต่อ
ในเวลานี้ชิวเจิ้นและทุกคนที่ได้ยินข่าวต่างก็รีบวิ่งออกมา ด้วยแม้ฟานจูจะไม่มีอำนาจมากมาย หากแต่เขาก็เป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในแคว้นนี้
หลังจากทักทายกันแล้ว ถังหยินก็อยากทราบข่าวคราวของเมืองหยานบ้าง จึงเอ่ยถามออกไป
ฟานจูถอนหายใจก่อนจะกล่าว “มันพังไม่เป็นท่าเชียวละ”
“ว่าไงนะ ?”
“ข้ามีหลักฐานว่าซ่งเทียนจะก่อกบฏมานานแล้ว หากแต่ข้าก็ไม่กล้าเปิดเผยมัน นอกจากนี้ข้าก็ยังรู้ดีว่ามันพยายามจะควบคุมอำนาจตระกูลข้าเพื่อช่วยเสริมสถานการณ์บ้านเมืองให้สงบโดยเร็ว ดังนั้นข้าจึงให้ฟานหมินลี้ภัยไปอยู่ที่อื่นก่อน”
“ส่วนตัวข้าเองก็เลือกที่จะซ่อนตัว จนกระทั่งถูกมันพบเข้านี่แหละ เลยต้องรีบหนีมันมาแบบนี้ อีกอย่าง พวกมันก็ได้ส่งคนมาลักพาตัวลูกสาวข้าไปด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ท่านถัง ป่านนี้นางจะเป็นตายร้ายดียังไงก็คงยากคาดเดา” ฟานจูอธิบายทั้งหมด
ถังหยินส่ายหัว “จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าฟานหมินเองก็ช่วยเหลือข้าไว้เยอะเหมือนกัน ถ้าไม่ได้นางป่านนี้เมืองของข้าคงไม่เจริญแบบนี้หรอก”
ฟานจูหัวเราะ ไม่ว่าถังหยินจะชั่วร้ายขนาดไหนตามที่ข่าวลือบอก แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความดีในตัวของอีกฝ่ายได้อยู่บ้าง “ท่านถังช่างน่าเลื่อมใสยิ่ง”
ถังหยินได้แต่เกาหัวอย่างเขินอาย
ชายวัยกลางคนกล่าวต่อ “ตอนนี้คนทั้งราชสำนักถูกซ่งเทียนจับตัวเอาไว้ โดยเฉพาะเหลียงซิง อู่หยู และจี้หยาง ทำให้พวกเขาต่างก็ต้องยอมจำนนอย่างไม่มีทางเลือกให้กับซ่งเทียน ทำให้มันมีทหารมากกว่า 2 แสนนายแล้วในตอนนี้”
ทุกคนถึงกับตะลึงในทันทีที่ได้ยินจำนวนกำลังพลขนาดนี้
ถังหยินขมวดคิ้ว “แล้วทหารในพื้นที่อื่นเล่า ? ข้าว่ามันต้องมีมากกว่านั้นแน่”
“กองทัพรอบข้างไม่สามารถสู้พวกทัพหลวงได้หรอก ตอนนี้พวกเขากำลังโดนทั้งกองทัพซ่งเทียนและกองทัพหนิงไล่ตีจนเกือบแตกพ่าย ซึ่งมันก็ไม่ใช่แค่นั้น เพราะซ่งเทียนได้ส่งจดหมายให้สวามิภักดิ์ไปยังเจ้าเมืองทุกคนแล้วด้วย ข้าว่าศึกนี้คงใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ…”
ถังหยินมองหน้าชิวเจิ้นด้วยความกังวล
ไม่ว่าสหายของเขาจะคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็จะไม่ส่งกองทัพไปที่เมืองหยานแน่นอน เพราะถ้าไป พวกเขาก็อาจจะถูกล้อมเอาไว้จากศึกทั้งสองด้านก็เป็นได้
ชิวเจิ้นถามอย่างไม่สนใจ “ท่านฟาน ท่านอ๋องตายแล้วจริงหรือ ?”
“ตายแล้ว” ฟานจูถอนหายใจ “ตั้งแต่ซ่งเทียนครองบัลลังก์ มันก็ได้ทำการสังหารคนจากตระกูลจ้านจนเกลี้ยงไม่เหลือสักคนเลย”
ทุกคนรู้สึกใจหายที่ได้ยินแบบนี้ แต่ชิวเจิ้นกลับยิ้มออกมาที่ได้ยินคำนั้น
ทว่ายังไม่หมดเพียงแค่นั้น ชายวัยกลางคนได้กล่าวต่อ “ตั้งแต่อดีต พวกเรานั้นอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขโดยมี 4 ตระกูลใหญ่ที่ไม่แก่งแย่งอำนาจกัน แต่บัดนี้มันกลับตาลปัตรเสียจนข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าซ่งเทียนจะทำได้ถึงเพียงนี้”
“ท่านฟาน มันยังเร็วไปที่จะสรุปนะ” ชิวเจิ้นกล่าวพร้อมมองไปที่ถังหยิน เพราะเป้าหมายของเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือให้ถังหยินกรีธาทัพเข้าไปในเมืองหลวงแล้วจัดการพวกกบฏนี่เสีย เพื่อเป็นการประกาศต่อโลกใบนี้ว่าใครเป็นเจ้าของ !
ชายหนุ่มที่ได้ฟัง เขาก็ได้แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้เงียบ ๆ คนเดียวไม่สบตาใคร
ซ่งเทียนคุมกองทัพทั้งหมดได้แล้ว ทั้งยังมีทหารมากกว่า 2 แสนนายใต้การควบคุม ถ้าหากพวกเขายกทัพเข้าไปตี มันจะเสี่ยงเกินไป ด้วยยังมีพวกทหารหนิงอีกมากกว่า 4 แสนนายนั่นอีก !
ดังนั้นอย่าว่าแต่การโจมตีเมืองหยานเลย แค่เขาเดินทัพออกจากทางผ่านนี้ก็แทบจะโดนคลื่นมนุษย์เหยียบตายกันหมดแล้ว ! ซึ่งชายหนุ่มนั้นก็ไม่อาจเอากองทัพตัวเองกว่า 2 แสนชีวิตไปเสี่ยงได้หรอก !!!