บทที่ 163
ถังหยินเงียบอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้นถาม “ท่านฟาน การเดินทางคงจะลำบากน่าดู ข้าได้จัดแจงที่พักไว้ให้ท่านแล้ว พักสักหน่อยเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าข้าจะให้คนไปส่งท่านที่ชุนโจว”
“ขอบคุณมากท่านถัง” ฟานจูประกบมือให้
“ท่านก็กล่าวเกินไป เรียกข้าว่าถังหยินก็พอแล้ว”
“ถ้างั้นตาแก่คนนี้ขอตัวลาก่อนละ”
หลังจากถังหยินส่งเขาออกไปแล้วก็กลับไปยังเต็นท์ของตัวเอง ซึ่งเมื่อเห็นว่าพวกลูกน้องยังไม่ออกไปเขาจึงร้องถาม “พวกเจ้าจะมองข้าทำไมกัน ?”
ชิวเจิ้นถามตรง ๆ “ท่านคิดว่าไงหรือนายท่าน ?”
“หมายความว่าไง ?”
“พวกเราควรจะประกาศสงครามกับซ่งเทียนหรือไม่ ?”
“ให้ข้าครุ่นคิดเกี่ยวกับมันเสียก่อนเถอะ” ถังหยินพูดพลางเอานิ้วถูหน้าผากตัวเอง
“ไม่ต้องคิดมากแล้วนายท่าน ซ่งเทียนเพิ่งจะก่อกบฏไป นี่แหละคือโอกาสอันดี ถ้าหากมันทำให้ฐานอำนาจตัวเองแข็งแกร่งเมื่อไหร่ พวกเราลำบากแน่ ท่านคิดจะปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ หรือ ?” ชิวเจิ้นถามอย่างจริงจัง
สีหน้าของถังหยินเปลี่ยนไปทันที ก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ข้าเหนื่อยแล้วล่ะ ทุกคนไปพักกันเถอะ”
ในเวลานี้ทหารทุกคนต่างมีความคิดที่จะเข้าไปยังเมืองหลวงเพื่อปราบปรามซ่งเทียนและฟื้นฟูเฟิงให้กลับมาดังเดิม
และไม่ใช่แค่พวกเขา แม้แต่พวกทหารเลวหรือประชาชนเองก็เกลียดซ่งเทียนมากที่กระทำการอุกอาจ อันนำมาซึ่งหายนะของตระกูลจ้านผู้เป็นที่รักของปวงชน ไหนจะที่เปลี่ยนชื่อแคว้นนั่นอีก ! การที่พวกเขาเป็นคนเฟิงมากันเนิ่นนานจะให้มาเปลี่ยนง่าย ๆ ได้ไงกัน ?
ทว่าถังหยินนั้นเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในที่นี้ ดังนั้นถ้าเขาไม่ออกคำสั่ง มันก็จะไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งนั้น
ชายหนุ่มลังเล แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สายลับของพวกเขาก็ยังส่งข้อมูลจากเมืองหยานมาให้ไม่หยุดหย่อน
เพื่อยุติสงครามกับพวกหนิง ซ่งเทียนต้องครองบัลลังก์และมอบประตูตงให้กับพวกมัน แถมยังต้องส่งบรรณาการให้พวกหนิงอีกด้วย
นอกจากนี้เพื่อครองใจพวกชนชั้นสูงทั้ง 3 ตระกูลที่เหลืออยู่ เขาจึงได้มอบตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมให้ ทั้งยังจัดการแต่งงานทางการเมืองให้แก่อู่หยูอีกต่างหาก ด้วยการแต่งงานกับอู่เหมย !
เรื่องนี้ทำให้ถังหยินโกรธมากทีเดียว เขากำหมันแน่น พร้อมทั้งคิดได้ใจว่า กล้าดียังไง !!!
นอกจากนี้เขายังพบว่าทุกคนในตระกูลอู่ และจี้หยาง ต่างก็ถูกจับตัวเอาไว้เป็นตัวประกันหมดสิ้น ส่วนงานแต่งงานของอู่เหมยจะถูกจัดขึ้นในเดือนหน้า
เมื่อชิวเจิ้นได้ยินข่าวนี้ เด็กหนุ่มก็ดีใจเป็นอันมาก เขาได้เข้าไปกระซิบข้างหูชายหนุ่มด้วยสำนวนประมาณ ‘โกรธใดไม่โกรธเท่าหญิงที่หมายใจถูกแย่ง’ และ ‘ผู้ชายที่ไร้ความสามารถก็คือชายที่ไม่สามารถปกป้องคนที่รักได้’
ด้วยถ้อยคำที่กระซิบข้างหู ถ้าหากชายคนนี้ไม่ใช่สหายของเขา ป่านนี้ถังหยินคงถีบหัวส่งอีกฝ่ายไปนานแล้ว !
ในช่วงเวลานี้ นักเดินทางจากทั่วแคว้นเฟิงก็ได้มายังเทียนหยวนกันมากขึ้น
บอกตามตรงเลยว่าในตอนนี้ ผู้ที่สามารถรับมือกับกองทัพของซ่งเทียนได้ก็มีแค่ถังหยินและมณฑลเทียนหยวนของเขาเท่านั้น ดังนั้นทุกคนที่ภักดีต่อท่านอ๋ององค์เดิมต่างก็พากันหลั่งไหลเข้ามาและฝากความหวังไว้กับเขา
แม้ว่าจะมีคนไม่มีความสามารถมากมายปะปนไปหมด แต่ถังหยินก็มีที่ถูกใจอยู่บ้าง 3 คน
และถ้าหากเขาตัดสินใจเดินทัพไปยังเมืองหยานด้วยกำลังที่มีในขณะนี้ ก็รับรองได้เลยว่าจะต้องเกิดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่มากแน่ ๆ ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมไปถึงการเข้าปราบกองทัพหนิงที่มากกว่า 4 แสนนั่นอีก ที่มันคงจะสร้างความเสียหายให้กับแคว้นเฟิงเป็นอย่างมาก
ทั้ง 3 คนที่ถูกใจที่ว่านั่น คนแรกที่เขาได้พบก็คือ เพิงเฮาชู ที่หนีตายมายังเทียนหยวน ซึ่งอีกฝ่ายก็นับได้ว่ามีฝีมือพอตัว ดังนั้นเขาจึงได้มอบให้คนผู้นี้เป็นรองแม่ทัพเทียนหยวน เพื่อให้คอยผสานงานกับกู่เยว่และกองทัพที่เหลือ
ด้วยถึงแม้กู่เยว่จะภักดีต่อเขา หากแต่ก็ยังขาดบางอย่างไปอยู่ และเฮาชูเองก็ทดแทนในส่วนนั้นได้ ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่อาจหาความภักดีจากเขาได้เช่นกัน
ส่วนอีก 2 คนชื่อ จางจี้ และ ซวนหวาง
สิ่งที่ถังหยินให้ค่ากับซวนหวางก็คือหน้าไม้..
ในเวลานี้หน้าไม้ไม่ใช่อาวุธที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย มันกระจายอยู่แค่ในเขตฉวนเท่านั้น และแม้ว่าการใช้งานจะไม่ต้องพึ่งพาฝีมือเท่าธนู หากแต่มันก็รุนแรงเท่าเทียมกัน แต่ถึงกระนั้นข้อเสียของมันก็เยอะมากเช่นกัน ด้วยความที่ว่ามันมีขนาดเล็ก จึงทำให้ไม่สามารถยิงระยะที่ไกลกว่านี้ได้
ทว่าหน้าไม้ที่ซวนหวางนำมานั้น มันได้รับการดัดแปลงเรียบร้อยแล้ว จนสามารถยิงศรออกมาได้ 3 ดอกพร้อมกัน ซึ่งก็สะดวกและมีความสำคัญในการรบยิ่ง ดังนั้นหลังจากที่เขาเอามันมาแนะนำ ถังหยินก็สนใจมันในทันที
เพราะต้องอย่าลืมว่าถังหยินไม่ใช่คนจากโลกนี้ และที่โลกก่อนนั่นเอง มันก็ทำให้เขานั้นรู้ดีถึงอานุภาพของหน้าไม้ ที่นับได้ว่าเป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในยุคสมัยเก่าเช่นนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้มอบตำแหน่งฝ่ายควบคุมและดูแลการผลิตให้กับซวนหวางพร้อมกับเงินทองมากมาย
มาถึงคนสุดท้าย จางจี้ คนที่ที่ถังหยินให้ค่ามากที่สุด ซึ่งอีกฝ่ายนั้นก็ได้แนะนำให้ถังหยินเพิ่มกองกำลังมากขึ้น เพื่อจัดการซ่งเทียนแบบแน่นอนไปเลย พร้อมทั้งยังพูดถึงเรื่อง 3 เรื่อง อันได้แก่
อันดับแรกคือ การที่พวกเขาจะบุกเข้าไปในฐานะของผู้ปราบปรามกบฏ
สองคือ ซ่งเทียนโดนข้อหาขายชาติให้กับพวกหนิง ทำให้ถังหยินได้รับการสนับสนุนมากมาย
และอย่างที่สามสำคัญที่สุดก็คือ แม้ว่าซ่งเทียนจะมีกองทัพที่ใหญ่โตมาก แต่มันก็เกิดมาจากเศษซากของกองทัพที่แตกพ่ายไปแล้ว จึงไม่มีกำลังใจที่จะร่วมสู้กันเป็นแน่แท้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเองก็ยังไม่ได้ภักดีต่อนายใหม่ทุกคนด้วยเพราะมาจากตระกูลที่ต่างกัน
ก่อนที่จางจี้จะพูดถึงเรื่องกองทัพหนิงว่าไม่ต้องกังวลมาก เพราะพวกมันเดินทางกันมาไกล จึงขาดเสบียงมากมาย ถ้าทำสงครามยืดเยื้อพวกเราอาจจะชนะได้
เหตุผลเหล่านี้ทำให้ถังหยินเริ่มมั่นใจขึ้นมาทันที ผิดกับชิวเจิ้นที่มักจะกดดันให้เขาโจมตีซ่งเทียนตลอดเวลา โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลอื่นใด …แม้แต่จะบอกโอกาสชนะก็ไม่มี
แต่ทว่าในเวลานี้ถังหยินก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดีว่าจะส่งทหารเข้าไปปราบปรามมันดีหรือไม่
ด้วยผู้คนจำนวนมากที่ไหลเข้ามา จึงทำให้กองทัพเทียนหยวนแข็งแกร่งขึ้นมาก และวันนี้ก็เป็นวันที่ถังหยินรู้สึกได้ถึงการบีบบังคับให้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ต้องฝืนใจ
เพราะซ่งเทียนได้มีคำสั่งส่งมายังที่นี่ผ่านเจาเอ้อ ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความมั่นใจและไม่เกรงกลัวใด ๆ ทั้งสิ้นพร้อมถาม “ใครคือถังหยิน ? เจ้ายังไม่มาสวามิภักดิ์อีกหรือ ?”
ถังหยินเดินออกมาจากเต็นท์ของเขาเองเมื่อได้ยินเสียงนั่น และการมาของเขาก็ทำให้ทุกคนถึงกับหายใจไม่ทั่วท้อง
ทุกคนรู้ว่าซ่งเทียนกำลังจะทำอะไร ตราบเท่าที่ถังหยินรับคำสวามิภักดิ์นี้ ความหวังสุดท้ายของแคว้นเฟิงก็จะถูกทำลาย
เวลานี้ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น ราวกับว่าทุกสิ่งเงียบหายหมดไป ตั้งแต่ทหารเลวไปจนถึงแม่ทัพระดับสูง ทุกคนต่างก็รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ