ใบหน้าของเปิงเฮาฉูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เถียงกับหานหยินต่อ เพียงแค่โค้งคำนับให้กับถังหยินและกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ได้โปรด พิจารณาใหม่ด้วยขอรับนายท่าน”
“นายท่าน กองทัพท้องถิ่นปฏิบัติตามคำสั่งของซ่งเทียน พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของซ่งเทียน นกสองหัวเช่นนี้ มีหรือที่เราควรจะปล่อยไป ?”
ถังหยินตกอยู่ในสถานะที่ยากลำบาก ด้วยหากสังหารทหารพวกนั้น มันก็เท่ากับการฆ่าชาวเฟิง ! แต่ถ้าไม่กำจัดพวกเขา คนพวกนั้นก็จะทำตามคำสั่งที่ได้รับ และเข้ามาเข่นฆ่าพวกเขาอยู่ดี
หลังจากคิดเรื่องนี้ ถังหยินรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้เกิดความเสี่ยงใด ๆ ขึ้น
ทว่าในขณะที่เขากำลังจะพูด ชิวเจิ้นกลับชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อนว่า “คำพูดของหานหยินและแม่ทัพเปิงนั้นนับว่าสมเหตุสมผลทั้งคู่ ทว่าด้วยจำนวนที่ต่างกัน ข้าจึงคิดว่ามันคงจะเป็นการดีกว่าถ้ากองทัพของเราสามารถตั้งการซุ่มโจมตีได้ตลอดทาง ซึ่งแผนดังกล่าวไม่ต้องการทหารมากเกินไป ขอแค่กำลังพล 5 หมื่นนายก็เพียงพอแล้ว”
“ส่วนพวกเราที่เหลือ ก็ให้อยู่ในค่ายต่อไป แม้จะเมื่อเห็นพวกชาวบ้านเดินทางไปยังเมืองชางซุย ก็อย่าเคลื่อนไหวใด ปล่อยให้พวกเขาผ่านไปตามปกติ ทว่าหลังจากที่ชาวบ้านเข้าไปในเมือง กองทัพของเราก็จะเข้าล้อมเมืองทันที เพื่อบีบให้ชาวบ้านยอมจำนน”
“และหากพวกเขาเต็มใจที่จะยอม มันก็ย่อมจะเป็นการดีที่สุด ด้วยจะได้ไม่ต้องเกิดปัญหาฆ่าฟันกันเอง ทว่าหากพวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมจำนน งั้นแล้วเราก็ถือว่าเป็นการเข้าควบคุมสถานการณ์ก่อนเพื่อจะได้ทำการซุ่มโจมตีโดยง่าย ส่วนพวกกำลังทหารของซ่งเทียน เราก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาใด ๆ ! เป็นยังไง ทุกท่าน ๆ คิดเห็นยังไงกับแผนการของข้า ?”
หลังจากได้ยินแผนของชิวเจิ้น ทุกคนก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครคัดค้าน ถังหยินก็จึงพยักหน้าและถามว่า “ชิวเจิ้นแล้วเจ้าคิดว่าใครเหมาะสมที่สุดที่จะนำการซุ่มโจมตีครั้งนี้”
ชิวเจิ้นหัวเราะและหันมองไปที่เปิงเฮาฉูก่อนพูดว่า “ข้าคิดว่าต้องรบกวนท่านแล้วล่ะ แม่ทัพเปิง !”
หัวใจของถังหยินสั่นไหวขณะที่เขาพยักหน้า ด้วยชายหนุ่มคิดว่าไม่ควรเลยที่จะส่งเปิงเฮาฉูไป ทำให้เขาฮึดฮัด หันไปมองเปิงเฮาฉูและถามว่า “ท่านแม่ทัพเปิง คิดว่าอย่างไร”
เปิงเฮาฉูประสานมือและพูดว่า “ข้าน้อยยินดีที่จะไป !”
ถังหยินพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะมอบกองพันที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าทั้ง 6 กองให้กับเจ้า จงไปซุ่มโจมตีใกล้ชายแดนมณฑลกวนหนาน และหากเจ้าเห็นซ่งเวิน ก็จงนำกองทหารเข้าจับเขากลับมา ทว่าหากข้าไม่ได้สั่ง งั้นแล้วเจ้าก็ห้ามกลับมาเด็ดขาด !”
“ขอรับนายท่าน !”
ถังหยินคำนวณเวลาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะสั่งการ “เตรียมการภายในคืนนี้ !”
“งั้นข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ !” เปิงเฮาฉูไม่ลังเลเลย
เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเปิงเฮาฉู ถังหยินก็นึกอะไรบางอย่างได้ เขาเอื้อมมือไป ทำท่าห้ามอีกฝ่าย ก่อนหันมองไปที่หยวนยู่และพูดว่า “หยวนยู่ คราวนี้เจ้าต้องไปกับท่านแม่ทัพด้วย”
เขากังวลว่าเปิงเฮาฉูอาจจะไม่สามารถต้านเอาไว้ได้ แต่ถ้าหยวนยู่ไปด้วย งั้นแล้วมันก็เป็นอีกเรื่องนึง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หยวนยู่ก็ฉีกยิ้มอย่างมีความสุข ด้วยเขานั้นรักในการต่อสู้และการสงคราม ! ดังนั้นมีหรือที่เขาจะบอกปัด “ตามที่ท่านต้องการ !” แต่อีกครู่หนึ่งเขาก็ถามต่อ “แล้วในสนามรบข้าต้องฟังใครสั่งกัน ?”
ถังหยินที่ได้ยินคำถามก็ถึงกับตะลึงค้างไป ด้วยเปิงเฮาฉูนับเป็นรองแม่ทัพใหญ่ ส่วนหยวนยู่นับแม่ทัพแนวหน้าของกองทัพเทียนหยวน ดังนั้นในแง่ของระดับบัญชาแล้ว เปิงเฮาฉูต้องรับฟังคำสั่งของหยวนยู่โดยธรรมชาติ หากแต่ฝ่ายหลังนั้นหุนหันพลันแล่นเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่เหมาะกับการเป็นผู้สั่งการ
ถังหยินไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร ทว่ากลับเป็นเปิงเฮาฉูที่หัวเราะและพูดกับหยวนยู่แทน “เนื่องจากแม่ทัพหยวนเคยควบคุมทั้ง 3 กองพันมาก่อน อีกทั้งยังเป็นนายทหารแนวหน้าที่กล้าหาญ ดังนั้นมันก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าข้าจะต้องเป็นฝ่ายฟังแม่ทัพหยวน !”
หยวนยู่เป็นคนง่าย ๆ ถ้าคิดอะไรก็จะพูดออกมาทั้งหมด ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเปิงเฮาฉู เขาก็หัวเราะออกมา ซึ่งการแสดงออกนี่มันก็เผยให้เห็นถึงนิสัยของเขาอย่างแท้จริง
หากแต่ถังหยินที่ได้ยินกลับขมวดคิ้วแน่น ด้วยทหารผู้เย่อหยิ่งมักจะต้องพ่ายแพ้ และหยวนยู่นั้นก็นับได้ว่าเป็นคนที่หยิ่งผยองและอวดดียิ่ง ทำให้เขาต้องเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง “หยวนยู่ คราวนี้เหตุผลหลักในการต่อสู้คือเพื่อถ่วงเวลาศัตรู อย่าเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้หรือว่าตั้งเป้ากับการฆ่าฟันมากเกินไป เข้าใจหรือไม่ ! ”
“ฮิ ฮิ !” หยวนยู่ยิ้มกว้างและพูดอย่างหยิ่งผยอง “กับอีแค่ซ่งเวิน ต่อให้เขาจะมีกำลังเกือบ 2 แสนมากเป็น 2 เท่าจากฝั่งเรา ข้าก็ไม่กลัวแต่อย่างใด ! ข้าจะจับมันกลับมาให้จงได้ ไม่ต้องห่วงไป !”
ถังหยินหัวเราะอย่างขมขื่น เขาไม่กังวลสำหรับหยวนยู่ ด้วยฝีมือของอีกฝ่าย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถเอาชนะได้ ก็สามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย !
โดยไม่ได้พูดอะไรกับหยวนยู่ ถังหยินก็หันกลับมามองเปิงเฮาฉูอย่างใช้ความคิดแทน
เปิงเฮาฉูเข้าใจทันทีว่าถังหยินหมายถึงอะไรโดยไม่จำเป็นต้องพูดให้ชัดเจน เขาจึงชิงพูดก่อน “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” เมื่อสิ้นคำพูดนั้น เขาก็พลันประสานมือเคารพถังหยินและออกจากเต็นท์
หยวนยู่เองก็ตามอีกฝ่ายไปติด ๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่ภายในเต็นท์ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายที่ดังมาจากข้างนอก “แม่ทัพเปิง ที่ท่านพูดว่าเข้าใจแล้วนั่นมันอะไรกัน ?”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างนึกขำขัน
แต่แล้วก็เหมือนถังหยินจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ด้วยตอนนี้ฝ่ายของพวกเขาประจำการอยู่นอกเมืองชางซุย และมันก็ไม่อาจรู้ได้ว่าศัตรูจะมาถึงเมื่อใด ซึ่งการรออย่างต่ำก็คงจะใช้เวลา 2-3 วัน ทำให้เรื่องเสบียงอาหารกลายเป็นปัญหา เป็นเหตุให้ชายหนุ่มเอ่ยถามออกไปว่า “กองทัพมีเสบียงเพียงพอไหม”
แม่ทัพที่ดูแลเรื่องเสบียงชื่อว่าเช่าติง ดังนั้นเมื่อได้ยินคำถามของถังหยินเขาก็รีบตอบออกมาว่า “เสบียงอาหารที่กองทัพนำมานั้นเพียงพอสำหรับ 3 วัน และนอกจากนี้ก็ยังมีเสบียงอาหารที่จะถูกลำเลียงมาจากเมืองอีก โดยอาจใช้เวลา 2 – 3 วันในการขนส่ง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาใด !”
“ดีมาก !” ถังหยินพยักหน้า แต่เมื่อคิดถึงเสบียงที่กำลังจะส่งมาแล้ว ชายหนุ่มก็พลันพูดกำกับเพิ่มไปว่า “สำหรับอาหารที่ท่านเซ่าจะส่งมานั้น เราจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัย”
“ขอรับ ?” เช่าติงไม่เข้าใจว่าถังหยินหมายถึงอะไร เซ่าฮุยจะเล่นไม่ซื่ออย่างนั้นเหรอ ? เป็นไปได้เหรอที่จะมีบางอย่างผิดปกติกับอาหารที่เขาส่งมา ?
เมื่อเห็นการแสดงออกที่งุนงงของอีกฝ่าย ถังหยินก็ขึ้นเสียงตอบกลับไปว่า “ไม่มีอะไรที่เจ้าจะต้องระแวงเกินเหตุหรอก ! แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็จงมาแจ้งให้ข้ารู้ เข้าใจไหม ?!”
เช่าติงตกใจกลัว เขาโค้งคำนับทันทีและกล่าวว่า “รับทราบขอรับท่าน !”
ทุกคนในเต็นท์มองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไร ด้วยพวกเขากลัวจะพูดแล้วผิดหูของชายหนุ่ม
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจทั้งหมด ถังหยินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนเหยียดร่างกายของเขาและพูดว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญกลับไปได้”
“งั้นพวกข้าขอลา !” ทุกคนเดินออกจากเต็นท์
หลังจากที่ทุกคนออกไป ถังหยินก็ไม่ได้อยู่ในเต็นท์ต่อ เขาเลือกที่จะนำชิวเจิ้นออกไปลาดตระเวนรอบ ๆ แทน
ตอนนี้พวกเขาอยู่ลึกเข้าไปในป่า ซึ่งเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็จะพบเข้ากับเต็นท์มากมายที่ถูกพรางตาด้วยต้นไม้ไว้อย่างดี
ถังหยินลาดตระเวนรอบค่ายของกองทัพปิงหยวนก่อน ซึ่งเขาก็พบว่าทหารจากกองทัพปิงหยวนนั้นต่างก็มีระเบียบวินัยค่อนข้างหละหลวม มีทหารนั่งจับกลุ่มกัน 3 – 5 นายกำลังนั่งสนทนากันสบายใจเฉิบ ไม่มีแม้แต่บรรยากาศที่กระวนกระวายในช่วงก่อนการสู้รบครั้งใหญ่แม้แต่น้อย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ก็ไม่สามารถที่จะดูถูกกองทัพปิงหยวนได้เลย ด้วยที่ตั้งของตัวค่ายนั้นอยู่ใกล้ถนนสายหลักอย่างมาก หากมีสถานการณ์ที่ไม่ดี พวกก็จะสามารถพบเห็นและเตรียมพร้อมได้อย่างทันท่วงที ! ซึ่งนี่ก็นับเป็นความดีความชอบของมูฉิง
เมื่อเห็นถังหยินออกมาตรวจเยี่ยม ทหารกองทัพปิงหยวนทุกคนก็หยุดพูดคุยกัน ก่อนจะยืนขึ้นและทักทายด้วยความเคารพ “เคารพ !”
ทหารทั้งกองนี้ถูกฝึกโดยตัวถังหยินเอง พวกเขาจึงสืบทอดจุดแข็งและจุดอ่อนของถังหยินออกมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน ทำให้เมื่อยามต่อสู้พวกเขาจะกล้าหาญพอที่จะต่อสู้และมีแรงผลักดันที่จะต่อสู้ หากแต่พวกเขาก็จะเพิกเฉยต่อระเบียบวินัยของทหารราวกับว่าไม่มีอยู่ อีกทั้งเสื้อผ้าของพวกเขาก็เลอะเทอะไปหมด ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมถึงหมวกเกราะของพวกเขาที่เอียงไปด้านข้าง และชุดเกราะที่ถูกถอดออกจนเหลือแค่เพียงเครื่องแบบในบางคน
ทว่าถึงจะเห็นเช่นนั้น หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากนัก เขายิ้มและพยักหน้าให้ทุกคน ก่อนจะเดินไปนั่งบนตอไม้ที่ตั้งอยู่กลางฝูงชนพร้อมโบกมือให้กับคนโดยรอบ “นั่งไปเถอะ ยืนนาน ๆ ไม่เมื่อยหรือไง ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกทหารทุกคนก็หัวเราะ พวกเขาทั้งหมดพากันล้อมรอบถังหยินและนั่งลงบนพื้น
ในความเห็นของพวกเขา ไม่มีความแตกต่างกันมากนักระหว่างถังหยินที่กลายเป็นผู้ว่ามณฑลและเจ้านายของพวกเขาที่ยังคงมองว่าทหารทุกคนเป็นเหมือนพี่น้อง
ด้วยเพราะถังหยินนั้นผ่อนปรนอย่างมากต่อพวกเขา จนถึงจุดที่เกือบจะไม่บังคับใด ๆ พวกเขาเลย และในทำนองเดียวกัน สิ่งที่ชายหนุ่มทำมันก็ส่งผลให้พวกทหารเต็มใจที่จะทำงานให้เขาอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าสิ่งที่ทำจะทำให้พวกเขาต้องตายก็ตาม
“พวกเจ้าไม่ได้กลับบ้านมาระยะหนึ่งแล้ว คิดถึงบ้านกันบ้างหรือไม่ ?” ถังหยินถอดหมวกเกราะของเขา ก่อนจะเล่นกับพู่สีแดงด้านบนของมัน และในขณะเดียวกันก็หัวเราะไปด้วย
“ไม่ขอรับ !!” พวกทหารตอบพร้อมเพรียงกัน
“หืม ?” ถังหยินมองไปที่ทหารหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เขา “ ทำไมถึงไม่เลยเล่า ?”
“พวกเราต้องการติดตามท่าน เพื่อต่อสู้กับแคว้นหนิง !” ทหารหนุ่มยิ้มกว้าง
ถังหยินตกใจ ด้วยเขาไม่เคยพูดว่าเขาต้องการโจมตีแคว้นหนิง อีกอย่างเขาก็ยังมีซ่งเทียน ศัตรูตัวฉกาจที่ยังไม่สามารถกำจัดได้เหลืออยู่ ! ดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วพูดถามกลับไปว่าทำไมพูดแบบนั้น
“ถ้าไม่มีพวกมัน ซ่งเทียนก็ไม่สามารถกบฏได้ และแคว้นเฟิงก็คงจะไม่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ซึ่งข้าก็เชื่อว่าเมื่อท่านกำจัดไอ้ทรราชเฒ่านั่นได้และกอบกู้แคว้นเฟิงสำเร็จ ท่านก็จะส่งกองกำลังไปจัดการพวกมันอย่างแน่นอน และพวกข้าก็พร้อมแล้วที่จะต่อสู้เคียงข้างไปกับท่านจนสุดหล้าฟ้าเขียว !”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า !” ถังหยินหัวเราะเสียงดัง เขาหันไปมองชิวเจิ้น “ไงล่ะ ถ้าแม้แต่ทหารธรรมดาของกองทัพปิงหยวนยังมีความทะเยอทะยานเช่นนี้ แล้วเราจะแพ้ได้ยังไงกันเล่า ?
ชิวเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่น ด้วยทหารทุกคนดูจะใจร้อนกันอย่างถึงที่สุด ซึ่งถ้าแม่ทัพของพวกเขาไม่คล้อยตามกันไปด้วยก็น่าจะเป็นการดี
“พวกเราจะเข้าตีแคว้นหนิง !”
“ใช่ แม้แต่พวกหนิงก็จะต้องศิโรราบให้กับพวกเรา !”
คำพูดของพวกทหารทำให้ถังหยินหัวเราะไม่หยุด เขารู้สึกว่าคุยกับทหารพวกนี้ดูจะน่าสนใจกว่าที่การคุยกับเจ้าหน้าที่พลเรือนและพวกแม่ทัพเสียอีก อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้นั้น แผนการโต้กลับพวกหนิงก็ได้เริ่มฝังรากลึกเข้าไปในหัวใจของเขาแล้ว !