บทที่ 206
หลังจากเตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น ถังหยินก็หันไปบอกให้ทุกคนแยกย้าย กลับไปพักผ่อนเสีย จากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองเพื่อสังเกตการณ์ค่ายของพวกหนิง
ค่ายของพวกหนิงเงียบมากในเวลานี้ นาน ๆ ครั้งถึงจะเห็นการเคลื่อนไหวของแสงไฟภายในค่าย
ในขณะที่เฝ้าดู ชายหนุ่มก็พลันนึกสงสัยว่าทำไมพวกหนิงถึงไม่ใช้อุปกรณ์ปิดล้อมขนาดใหญ่เลยในช่วงบ่ายวันนี้ ซึ่งถ้าบอกว่าพวกเขาไม่ได้คิดที่จะใช้มันตั้งแต่แรก มันก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเสียเท่าไหร่ ดังนั้นคำอธิบายเพียงอย่างเดียวก็คืออีกฝ่ายไม่มีอาวุธปิดล้อมขนาดใหญ่ !
แต่ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดบางอย่างได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าอุปกรณ์ปิดล้อมของพวกหนิงนั้นยุ่งยากเกินไป จึงทำให้รั้งอยู่ที่ท้ายขบวนรบ ?
ซึ่งหากมันเป็นเช่นนั้นจริง งั้นแล้วฝ่ายของพวกเขาก็ควรจะทำการสกัดกั้นและทำลายอาวุธปิดล้อมของพวกมันเสีย ด้วยสิ่งนี้จะทำให้สงครามเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง !
ถังหยินนั้นจำได้ดีถึงเมื่อคราที่กองทัพใช้เครื่องยิงก้อนหินนั่น มันทรงพลังเสียจนลูกศรไม่อาจต่อต้าน และเปลี่ยนให้ผู้คนกลายเป็นเศษเนื้อในชั่วพริบตา !
อาวุธเช่นนี้นั้นถือเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวเกินไป หากแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ทว่าพวกหนิงก็ได้ปิดล้อมพวกเขาทุกด้านไว้แล้ว คงยากนักที่จะส่งคนออกไปสกัดกั้นได้ คงมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้ !
เขายืนอยู่บนกำแพงเมืองและกลอกตาไปมา ก่อนจะตัดสินใจบางอย่างได้ ทำการโบกมือบอกทหารยามด้านหลัง แล้วจึงมุ่งตรงกลับที่พักของตนเองในทันที ทว่าพอเข้าไปชายหนุ่มก็ไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใด เขาเพียงถอดชุดเกราะออก และสวมใส่ชุดลำลองออกจากจวนที่พักอย่างเงียบ ๆ
ถังหยินใช้วิชาสลับเงา ส่งร่างตัวเองเคลื่อนตัวขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง
ในความเป็นจริงร่างเงาเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในลอบการออกจากค่ายของพวกหนิง หากแต่เป้าหมายหลักของถังหยินไม่ใช่แค่การออกไปเท่านั้น ทว่ายังเป็นการสกัดกั้นเสบียงและอาวุธขนาดใหญ่ของพวกหนิงด้วย !
และด้วยไม่รู้ว่ากำลังเสริมของอีกฝ่ายจะมาถึงเมื่อ เขาจึงไม่อาจดูท่าทีได้อีก มีแต่ต้องลงมือในทันทีเท่านั้นถึงจะวางใจได้ !
นอกเมืองจินฮั๋ว มีศพของพวกหนิงที่ไม่ได้ถูกนำออกไปเกลื่อนทั่วพื้น ทำให้ถังหยินที่เห็นดังนั้นปิดตาทั้ง 2 ข้างลง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง รูม่านตามันก็ได้กลายเป็นสีเขียวเข้มไปแล้ว !
ชายหนุ่มสำรวจสภาพแวดล้อมเพื่อยืนยันว่าไม่มีพวกหนิงซ่อนตัวอยู่ จากนั้นเขาก็พลิกศพเพื่อถอดชุดเกราะที่พอดีกับร่างของตัวเองและสวมมันอย่างรวดเร็ว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถังหยินก็เหลือมองไปยังค่ายหลักของพวกหนิง ก่อนจะใช้วิชาสลับเงาเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้กำแพงค่ายนั่น
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ได้ปลดปล่อยพลังปราณสีดำเข้าปกคลุมร่างกายเพื่อหลบซ่อน เฝ้ารอให้หน่วยลาดตระเวนที่กำลังเดินมาผ่านไป
หลังที่พวกทหารเดินไปแล้ว ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า รีบพุ่งตัวทะลุผ่านเข้าไปในค่ายของอีกฝ่ายในทันที !
เมื่อเข้าสู่ค่ายกองทัพหนิง ถังหยินก็ไม่ได้ซ่อนตัวอีกต่อไปและเดินออกไปอย่างเปิดเผย ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น เขาและร่างเงาของเขาก็ได้เปลี่ยนรูปกลายเป็นทหารหนิงนายหนึ่ง ก่อนปะปนเข้ากับพวกทหารลาดตระเวนแถวนั้น
ถังหยินและร่างเงามีความคิดเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดคุยก็ทำเข้าใจกันได้ และขณะที่ทั้งสองเดินไปข้างหน้า ทหารหนิงที่ลาดตระเวน 3 คนก็ได้เดินสวนทางกับพวกเขา
ตาของถังหยินสว่างขึ้น เช่นเดียวกับร่างเงาของเขาที่ดูจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นและทำตัวตามชายหนุ่มในทันที
เมื่อพวกเขาเดินสวนกัน ถังหยินก็เป็นฝ่ายหยุดเดินและหัวเราะ “พวกเจ้า 3 คนมาจากกองทหารไหน ?”
ทหารทั้ง 3 คนหยุดเดิน ตอบด้วยรอยยิ้มกลับมาว่า “พวกเรามาจากกองพันที่ 6 แล้วพวกเจ้าสองคนเล่า ?”
“กองพันที่ 8 ”
“ อ๋อ ?” ทหารทั้งสามมองหน้ากันแบบยิ้ม ๆ และกล่าวว่า “เจ้าเป็นกำลังหลักในการปิดล้อมบ่ายวันนี้สินะ ข้าได้ยินมาว่าพี่น้องของเราหลายคนเสียชีวิต มันจริงหรือไม่ ?”
“จริง !” สีหน้าเศร้าโศกปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังหยิน ก่อนที่เขาจะพูดเบา ๆ ตอบกลับไปว่า “วันนี้มีพี่น้องของเราหลายคนทีเดียวที่ไม่สามารถกลับบ้านได้อีกต่อไป”
“ไม่ต้องเสียใจไป ท่านแม่ทัพซางได้พูดไว้แล้ว ว่าคืนนี้ไม่ก็พรุ่งนี้เช้าอย่างช้าที่สุด อาวุธปิดล้อมจะถูกส่งมายังกองทัพเพื่อโจมตีพวกเฟิงและล้างแค้นให้กับสหายที่ตายไป !” ทหารหนิงทั้งสามไม่สงสัยเลย ยังคงพูดคุยบอกเล่าเรื่องราวออกไปโดยไม่ปิดบัง
หลังจากได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แสงแวบหนึ่งก็ได้เข้ามาในดวงตาของถังหยิน เขายิ้มและพูดว่า “ต้องขอบคุณข้อมูลของพี่ชายมาก !”
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังงุนงง ข้อมือของถังหยินก็พลันสั่น ดาบวงพระจันทร์ได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา และโดยไม่มีการเตือนใด ๆ ชายหนุ่มก็ได้เหวี่ยงแขนออกไปอย่างเร็ว !
เกิดเสียง ‘ฟั่บ’ ดังขึ้น ก่อนที่ลำคอของทหารหนิงทางด้านขวาจะถูกเฉือนออกด้วยคมมีด ไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งเสียงออกมา
แม้ว่าถังหยินจะไม่ได้ใช้พลังปราณ แต่เขาก็ยังมีความแข็งแกร่งของร่างกายและความว่องไว ที่เร็วมากพอจะทำให้การโจมตีของเขาไม่สามารถป้องกันได้
ทหารหนิงอีก 2 นายหน้าซีดตกใจ ปากของพวกเขาเปิดค้างกว้างกำลังจะร้องจะตะโกนออกมา ทว่าร่างเงาของถังหยินก็ได้เข้ามาถึงตัวทั้งสองแล้ว ทำให้ถึงแม้ปากของทหารหนิงทั้ง 2 คนจะเปิดกว้าง หากแต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว ได้แต่มองคมดาบที่เสียบแทงเข้าไปในหัวใจของพวกเขา
ฟุ่บ !
เขามองไปที่ศพบนพื้นและยิ้มกว้าง ก่อนยกมือขึ้น ทำการเรียกเปลวไฟออกมาเผาร่างทั้งสามให้สลายกลายเป็นฝุ่น ทิ้งไว้เพียงชุดเกราะและเสื้อผ้า
ด้วยความทรงจำของทหารหนิงทั้ง 3 คน ถังหยินก็ยืนยันได้แล้วว่าตอนนี้ไม่มีอาวุธขนาดใหญ่ในค่ายกองทัพหนิง ทว่าอาวุธพวกนั้นก็กำลังอยู่ในระหว่างการจัดส่ง แต่ว่ากันว่าจำนวนทหารหนิงที่คุ้มกันอาวุธนั้นมีไม่มากนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะเปลี่ยนทิศทางไปยังคอกม้า
ด้วยความทรงจำของทหารชาวหนิง มันก็ทำให้ถังหยินเข้าใจอย่างคร่าว ๆ เกี่ยวกับโครงสร้างของค่ายแห่งนี้ ทำให้พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะเจอเข้ากับคอกม้า
ที่แห่งนี้มันก็เหมือนกับกองทัพเฟิง พวกเขาไม่มีกองทัพทหารม้าที่แข็งแกร่งและมีม้าไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นม้าศึกของนายทหารระดับสูงและบางส่วนก็ใช้สำหรับสอดแนมเท่านั้น
ถังหยินและร่างเงาของเขาเดินตรงไปหาพวกหนิง เข้าไปข้างหน้าพวกเขาเสียใกล้ จนทำให้คนพวกนั้นขมวดคิ้วแน่น และเอ่ยถามไปว่า “มีอะไรหรือ ?”
“ขอใช้ม้าหน่อย !” ถังหยินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้รับคำสั่งมาหรือเปล่า ?”
“เปล่า !” ถังหยินตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เปล่าเหรอ ? นี่เจ้าคิดว่ามุกแบบนนั้นมันขำมากนักหรือไง ?”
ทหารหนิงบริเวณนั้นดูจะไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำเสียเท่าไหร่ พวกเขาพากันเข้าล้อมรอบถังหยินและม้วนแขนเสื้อขึ้นเหมือนว่าจะเอาเรื่อง
ทว่ายังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทำอะไร ร่างเงาก็พลันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำการเปลี่ยนมือทั้ง 2 ข้างให้กลายเป็นใบมีดโค้งยาว 2 อัน ก่อนขยับผ่านกลุ่มทหารพวกนั้นราวกับพายุหมุน
พวกเขาไม่แม้แต่จะได้ส่งเสียงออกมา ด้วยร่างทั้งร่างได้กลายเป็นควันไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงชุดเกราะและอาวุธของพวกเขาอยู่ที่พื้น ก่อนจะเป็นร่างเงาที่หันหน้าขึ้นด้านบน ทำการดูดซับพลังปราณทั้งหมดในอากาศ แล้วจึงเดินติดตามถังหยินเข้าไปในคอกม้า
หนึ่งคนหนึ่งเงากวาดสายตาไปทั่ว ก่อนเลือกเอาม้าที่แข็งแกร่งที่สุด 2 ตัวออกมา ขึ้นควบขี่พวกมัน แล้วจึงมุ่งตรงไปยังประตูด้านหลังของค่ายทันที !
จากความทรงจำของทหารหนิง ทำให้เขารู้ว่าจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ต่างก็เป็นคนที่แข็งแกร่งและทรงพลัง โดยเฉพาะกับคนน้องที่เก่งกาจเสียจนได้รับการจัดอันดับให้ติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของแคว้นหนิง ส่วนอีก 2 อับดับด้านบนก็เป็นทหารองครักษ์ และลูกศิษย์จากสถาบันฝึกยุทธ์ ที่ยากจะรับมือยิ่งกว่า
สำหรับที่แคว้นหนิงแล้ว ทุกอย่างมันต่างออกไป พวกเขาไม่เพียงแต่มีสถาบันฝึกยุทธ์ หากแต่ยังมีสถาบันศึกษาและสถาบันการทหารมากมายที่พร้อมจะส่งผู้มีความสามารถกลับคืนสู่แคว้น …และนี่ก็คือรากฐานที่เปลี่ยนแคว้นอันอ่อนแอให้กลายเป็นแคว้นหนิงอันแข็งแกร่ง !
ถังหยินและร่างเงาของเขาตรงไปที่ประตูด้านทิศใต้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อมาถึงทางเข้าออกหลัก ชายหนุ่มก็พลันตะโกนขึ้นว่า “คำสั่งด่วนจากท่านแม่ทัพ จงรีบเปิดประตูโดยเร็ว !”
ทหารหนิงที่เฝ้าประตูหลังด้านใต้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยความเร็วของผู้ขับขี่ทั้งสอง มันก็ทำให้พวกเขาคิดไปเองว่าคำสั่งนี้สำคัญยิ่ง และยอมเปิดประตูค่ายเพื่อให้ถังหยินกับร่างเงาผ่านออกไปแต่โดยดี
หลังจากออกห่างค่ายของพวกหนิง ถังหยินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ซึ่งในตอนนี้เขาได้ถอยร่างเงาไปแล้ว และกำลังขี่ม้าพร้อมกับจับม้าอีกตัวไปด้วยเพื่อเป็นตัวสำรอง ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว
เสบียงของกองทัพหนิงล้วนอยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยสนับสนุน และหลังจากได้รับคำสั่งของจ้านอู่ฉาง หน่วยสนับสนุนก็จำต้องเร่งความเร็วขึ้นอีก ทำให้ในเวลานี้พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากค่ายกองทัพหนิงมากนัก
และในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางนั่นเอง พวกเขาก็ได้เห็นเข้ากับม้า 2 ตัวที่กำลังวิ่งเข้ามา โดยหนึ่งในนั้นมีคนขี่อยู่ ในขณะที่ม้าอีกตัวไม่มี
เมื่อถังหยินเกือบจะถึงเป้าหมาย แม่ทัพหนิงนายหนึ่งก็พลันตะโกนเสียงดังถามออกไปว่า “หยุด ! ท่านแม่ทัพใหญ่มีคำสั่งส่งมางั้นหรือ ?”
“ใช่แล้ว !” ชายหนุ่มตอบรับ แต่เขาหาได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด ยังคงพุ่งทะยานเข้าไปไม่หยุด และเมื่อมาถึงที่ด้านหน้าของแม่ทัพหนิงนายนั้น ถังหยินก็พลันดึงดาบทั้ง 2 เล่มออกมา ก่อนจะผสานมันให้กลายเป็นเคียวคมกริบ
“ฮะ ?” แม่ทัพผู้นั้นตกใจเสียจนทำตัวไม่ถูก ด้วยนี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพยายามลอบสังหารตนด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
แม่ทัพผู้นั้นได้แต่ร้องตะโกนไปตามสัญชาตญาณ ก่อนลดศีรษะหลบด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะอาวุธบนอานเพื่อหาจังหวะโต้กลับอีกฝ่าย !