บทที่ 21
เมื่อภารกิจกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในใจของถังหยินไม่ได้รู้สึกถึงความยินดีเลยแม้แต่น้อย และยิ่งเขาพยายามทำตัวให้ดูสงบมากเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงความขี้ขลาดของตัวเขามากขึ้นเท่านั้น
เมื่อถังหยินกำลังจะออกจากค่าย ชิวเจิ้นก็ตามมาทัน
ดั่งที่คาดการณ์ไว้ ถังหยินหยุดรอให้ลูกน้องเดินไปก่อน แล้วหัวเราะ “ชิวเจิ้น เจ้ามาทำอะไร ? ”
เด็กหนุ่มตอบด้วยสีหน้ามืดหม่น “เจ้าไม่ได้คิดจะพาข้าไปด้วยจริง ๆ สินะ ? ”
“อันดับแรกเลย เจ้าต้องถามตัวเองก่อนว่าเจ้าจะช่วยอะไรข้าในการต่อสู้ได้บ้าง ? ”
“อย่างน้อยข้าก็วางแผนให้เจ้าได้ในเวลาอันสั้น”
“อย่าหวังเลย ข้าเกรงว่าต่อให้เจ้ามีความคิดดีแค่ไหน แต่ถ้าเจ้าหลบไม่ทันละก็ มีหวังหัวของเจ้าคงได้หายไปตลอดกาลเป็นแน่ อ้อ แล้วก็ถ้าเจ้าอยากจะตายจริง ๆ ถ้างั้นเจ้าก็ช่วยไปตายให้ไกล ๆ สายตาข้าทีละกันนะ”
เด็กหนุ่มฉลาดพอที่จะรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจพูดแทงใจดำ ใช่แล้ว ในตอนนี้เขาชักเริ่มที่จะเกลียดการที่ตัวเองฉลาดมากเกินไป บางทีแบบนั้นมันอาจจะดีกว่าก็ได้ อย่างน้อยก็ไม่น่าจะรู้สึกเหมือนอย่างที่เป็นในตอนนี้
เมื่อเห็นว่าสหายของเขากำลังคิดหนัก ถังหยินก็หมุนตัวมาโดยไม่หันกลับไปมองอีก “แบบนั้นแหละดีแล้ว บ๊ายบาย”
“บ๊ายบาย ? ” ชิวเจิ้นพูด
“มันหมายถึงลาก่อน” ถังหยินหัวเราะขณะที่เขาเอามือกระแทกหัวของตัวเอง
ชิวเจิ้นเดินตาม “เราจะได้พบกันอีกไหม ? ”
“ไม่รู้สิ” ถังหยินหันมามองด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะได้มาพบเจ้าก็แล้วกัน”
“…” เด็กหนุ่มก้มหัวลง เขาอยู่ในกองทัพมาเนิ่นนานและชินชาเสียแล้วกับการเห็นสหายของตนจากไปมากมายด้วยน้ำมือของศัตรู
ระหว่างทางไปที่ประตูหน้าด่านตง ถังหยินกับทุกคนก็พากันเดินช้า ๆ และอยู่ในสภาพระแวดระวังตลอดเวลา พวกเขาไม่รู้ว่ากำลังมีอะไรรออยู่ที่ปลายทางนั่น นอกเสียจากประตูสู่ความตาย
เมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนักหน่วง จางเป๋าก็เริ่มร้องเพลง “ยามแคว้นอันตราย ข้าจะเข้าสู่สงคราม”
ในไม่ช้า ทุกคนที่ทางมาด้วย พวกเขาก็พากันโห่ร้องเพลงนี้ไปพร้อม ๆ กัน
เพลงนี้มีชื่อว่า “บทเพลงแห่งสายลมอันยิ่งใหญ่” มันคือเพลงสั้นที่มีแค่ 4 ท่อน แต่ก็เป็นเพลงที่ใช้กันในกองทัพเฟิง
แคว้นเฟิงเป็นแค่แคว้นเล็ก ๆ ท่ามกลาง 9 แคว้นที่เหลือ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตตะวันออกเฉียงเหนือของจักรวรรดิเฮาเทียน ภายในนั้นมีชนชั้นสูงมากมายเทียบเท่ากับแคว้นอื่น พวกเขาคอยต่อต้านการรุกรานจากพวกเฮาเทียนหลายครั้งต่อหลายครั้ง บอกได้เลยว่าตั้งแต่ที่ก่อตั้งจักรวรรดิขึ้นมา มันก็ได้เกิดสงครามขึ้นไม่หยุดหย่อน ตลอดระยะเวลา 8 ร้อยปีที่ผ่านมามีทหารเฟิงมากมายที่ต้องสละชีวิตในต่างแดน
บทเพลงแห่งสายลมอันยิ่งใหญ่เป็นเสมือนภาพแทนของพวกเฟิง ซึ่งถูกเขียนขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อและหยดเลือด
ได้ยินเพลงนี้มันก็ทำเอาถังหยินเริ่มคล้อยตาม ในที่สุดเขาก็ร้องเพลงตามไปด้วยกันกับคนอื่น ๆ
ท้องฟ้าตอนนี้คือยามเที่ยง จางเป๋าที่อยู่ตรงหน้าสุดของกลุ่มก็ได้วิ่งเข้ามาถังหยินและพูดอย่างตื่นตระหนก “สหายถัง มีศัตรูข้างหน้า ! ”
ได้ยินแบบนี้ถังหยินก็เริ่มรู้สึกตื่นตัว เขารีบไปยังแนวหน้าและมองหาพวกศัตรู ซึ่งมันก็มีกลุ่มคนที่กำลังเดินอยู่บนถนนตรงหน้าพวกเขาจริง ๆ คนพวกนั้นก็คือกองทหารม้าของพวกหนิง
หลังจากถังหยินเห็นคนกลุ่มนั้นอย่างชัดเจน เขาก็หันมามองผู้คนที่อยู่รอบข้างเขาที่เริ่มเตรียมการต่อสู้แล้ว ชายหนุ่มตะโกนร้อง “วางอาวุธลง อย่ารีบร้อน อย่าลืมว่าพวกเราคือทหารหนิง ! ”
เมื่อชายหนุ่มพูดแบบนั้น ทุกคนก็เริ่มได้สติและเก็บอาวุธลงไป ถังหยินจ้องมองเรียงคนก่อนที่จะพูด “ตรวจดูทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าให้หลงเหลือร่องรอยใด ๆ ทั้งสิ้น ! ” แม้ว่าศัตรูจะมีน้อย แต่ถังหยินก็ไม่คิดจะสู้ เขาแค่อยากจะเข้าไปให้ถึงใจกลางศัตรูเท่านั้น
นอกเหนือจากกลุ่มของจางเป๋า ส่วนที่เหลือล้วนแกล้งทำเป็นเชลยศึก พวกเขาถูกเชือกมัดเอาไว้ หากแต่ในความจริงพวกเขาได้รับการติดอาวุธแหลมคมไว้ใต้เสื้อผ้า
ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มทหารม้าก็ได้มาถึงตรงหน้าถังหยินอย่างรวดเร็ว หัวหน้าหน่วยรีบเข้ามาถามชายหนุ่มอย่างเยือกเย็น “เกิดอะไรขึ้น ? ”
ในขณะที่จางเป๋ากำลังจะพูด ถังหยินก็ดึงเขาไปข้างหลังแล้วเป็นคนตอบแทน “พวกนี้คือเชลยจากพวกเฟิง”
หัวหน้าทหารรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยที่ถูกขัดจังหวะ “ข้าไม่ได้โง่นะ ข้ารู้ว่ามันเป็นเชลย แต่ข้าถามว่าพวกเจ้าว่าพามันมาทำไม ? ทำไมไม่จัดการมันซะ” ว่าแล้วหัวหน้าทหารนายนัดก็จัดการชักหอกเข้าไปยังลำคอของทหารเฟิงที่อยู่ด้านหลังทันที
ใบหน้าของทหารเป็นสีขาวซีด แต่มันก็สายเกินไปที่จะหลบให้พ้นจากการโจมตีด้วยเชือกที่มัดเขาอยู่ ในจังหวะเดียวกันนั้น ถังหยินที่เห็นเหตุการณ์ เขาก็พลันเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วและปัดป้องหอกเอาไว้ได้ด้วยดาบของเขา หากแต่ชายหนุ่มไม่ได้ชักดาบ เขาใช้เพียงฝักดาบเบี่ยงการโจมตีออกไปเท่านั้น
เคร้ง ! ปลายหอกถูกเบี่ยงพลาดเป้าไป
เครื่องแต่งกายของถังหยินไม่แตกต่างจากของทหารธรรมดา อย่างมากเขาก็เป็นเพียงหัวหน้าหน่วย แต่กล้าขัดคำสั่งแบบนี้ “เจ้า…!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของถังหยินไม่ลดลง เขาพูดโดยไม่รีบร้อน “ข้าได้รับคำสั่งมาว่าให้คุ้มกันพวกเชลยไปส่งถึงที่ ข้าไม่กล้าขัดคำสั่งของนายท่านหรอก ข้าหวังว่าท่านหัวหน้าจะไม่ทำให้ข้าลำบากใจ”
คำพูดของถังหยินนั้นสุภาพ หากแต่น้ำเสียงของเขานั้นกลับไม่เหมือนพวกทหารเลวเลยแม้แต่น้อย แถมสีหน้าของชายหนุ่มก็เงียบสงบราวกับว่ากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
สีหน้าของหัวหน้าทหารม้าผู้นั้นก็พลันเปลี่ยนไป อีกฝ่ายและถาม “เจ้าสังกัดหน่วยไหน ? ”
ถังหยินถอดตรากองทัพออกจากเอวของเขาแล้วส่งมอบ “พวกเราอยู่หน่วยรบที่ 5”
หัวหน้าทหารม้ามองไปที่ตราในมือของชายหนุ่ม ก่อนจะถามต่อว่า “แล้วพวกมันจะถูกส่งไปที่ไหน ? ”
ถังหยินจะไปรู้ได้ยังไงกัน ?
หัวหน้าทหารม้ามองด้วยความสงสัยและบ่นพึมพำ “หรือว่าจะเป็นคนสำคัญที่ต้องส่งไปที่ประตูหน้าด่านตง ?”
ประตูหน้าด่านตง ? ชายหนุ่มนึกว่าที่ตรงนั้นจะเป็นสนามรบเสียอีก แล้วนี่มันเกี่ยวอะไรกับประตูหน้าด่านตงกัน ? ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของถังหยิน เขาจำสิ่งที่ชิวเจิ้นพูดมาได้ก่อนหน้านี้ พวกหนิงจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่หากกำลังได้เปรียบ หรือว่าที่ชิวเจิ้นพูดจะเป็นความจริงกัน ? พวกหนิงมันเตรียมตัวบุกประตูหน้าด่านตงเรียบร้อยแล้วงั้นหรือ ?
เฮ้อ ! ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ดูเหมือนว่าการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์ของพวกเฟิงตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงเสียแล้ว ถังหยินคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะยิ้มแล้วพูดออกมา “ใครจะไปรู้เล่า ! หน้าที่ของข้าก็แค่พาพวกมันมาเท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังหัวหน้าทหารม้าราวกับว่าชายตรงหน้ากำลังพูดอะไรไร้สาระออกมา
ชายผู้นั้นหันม้าของเขาด้วยท่าทางหงุดหงิดและพูด “ที่แห่งนี้คือจุดยุทธศาสตร์สำคัญทางการทหาร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าจะผ่านไปได้ไหม เอาเป็นว่าข้าจะกลับไปรายงานก่อนก็แล้วกัน” ระหว่างที่พูดเขาก็ไม่ได้สนใจถังหยินแล้ว พร้อมกับพากองทหารตัวเองจากไป
ถังหยินทำหน้าบูดบึ้ง ค่ายพวกหนิงมีการป้องกันที่ดีมาก พวกมันจะให้ทหารที่ไม่รู้ที่มาที่ไปผ่านได้ยังไงกัน เขาเองก็มีแค่ตรากองทัพหนิงอยู่กับตัวด้วย ถ้าเกิดว่าไม่มีเอกสารทางทหารแล้วโดนคนอื่นสอบถามละก็ ดูแล้วยังไงก็คงไม่มีรอด
ในขณะที่เขาคิดเกี่ยวกับมัน ชายหนุ่มก็ไม่รออีกต่อไป ในขณะที่พวกทหารม้ายังไม่กลับมา ถ้างั้นเขาก็ควรที่จะรีบหาทางเข้าไปยังแนวป้องกันของพวกหนิงเสียตั้งแต่ตอนนี้ !
เมื่อพวกทหารม้าเดินจากไป ถังหยินก็บอกให้ลูกน้องของเขารีบวิ่งไปยังค่ายของพวกมันทันที