บทที่ 22
ด้วยความกลัวที่จะพลาดโอกาสไป ถังหยินและพลทหารนายอื่น ๆ จึงรีบวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ไม่ทันไรพวกเขาก็เห็นเข้ากับค่ายของพวกหนิงแล้ว
แม้ว่ามันจะจุดตรวจที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราว แต่มันก็ใหญ่มาก อันที่จริงแค่รั้วรอบนอกด้านนอกก็กว้างประมาณหลายสิบลี้แล้ว แถมด้านในยังมีค่ายทหารมากมาย และธงที่เขียนคำว่า ‘หนิง’ ตัวใหญ่โบกสะบัดไปมาอยู่เต็มไปหมดอีกด้วย
ช่างเป็นป้อมปราการที่ถือได้ว่าดูดีเลยทีเดียว ถังหยินเริ่มพูดไม่ออก เมื่อเห็นค่ายทหารมากมายทั้งหมดนี้ บางทีพวกมันอาจจะไม่ได้มีแค่พันคนก็ได้ ชักจะน่าสงสัยแล้วสิว่าข้อมูลที่อู่เหมยให้มาอาจจะเป็นข่าวปลอม !
ใจของถังหยินยังคงเย็นชา หากแต่ทหารเฟิงรอบ ๆ เขากลับมีท่าทีหวาดกลัวมากขึ้น ใบหน้าของพวกเขาต่างซีดเซียว แม้แต่มือของพวกเขาที่ถืออาวุธก็ยังสั่นไหว
เมื่อรู้สึกถึงความกลัวของทุกคน ถังหยินจึงหันหัวของเขาไปรอบ ๆ และยิ้มให้ “พวกเจ้ากลัวงั้นเหรอ ? ”
ทหารเฟิงมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครพูดอะไรเลย เผชิญหน้ากับศัตรูจำนวนมากแบบนี้คงมีแต่ตายกับตาย และถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขากำลังจะตาย แต่ทุกคนก็ยังกล้ามา เพราะงั้นขอพวกเขากลัวสักหน่อยจะเป็นไรไป ?
ถังหยินยิ้มเบา ๆ และพูดด้วยท่าทางผ่อนคลายไร้กังวล “ถ้าสวรรค์มีความเมตตาต่อพวกเจ้าทุกคน บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็เป็นได้”
“อุ๊บ ! ” เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ๆ ความตายสำหรับทุกคนคงจะน่ากลัว แต่สำหรับถังหยินแล้ว เขากลับสามารถพูดมันออกมาได้ด้วยท่าทีสบาย ๆ ราวกับว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องกังวลเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม คำพูดของถังหยิน มันก็สามารถช่วยคลายความตึงเครียดให้พวกเขาได้สำเร็จ จางเป๋าถามด้วยเสียงเบา ๆ “สหายถัง ถ้าพวกเราเข้าไปในค่ายศัตรูได้แล้ว พวกเราต้องทำยังไงต่อ ? ”
“เราทำอะไรไม่ได้เลย ! ” ถังหยินพูดตรง ๆ “พวกเจ้าเห็นกระโจมใหญ่ตรงใจกลางค่ายนั่นไหม ? เมื่อเข้าไปในนั้นแล้วก็พุ่งไปยังที่นั่นให้เร็วที่สุด ตราบเท่าที่เข้าไปถึงได้ นั่นก็หมายความว่าพวกเราว่าชนะไปแล้วครึ่งตัว”
ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะเด็ดหัวแม่ทัพก่อน ทันทีที่พวกเขาเริ่มต่อสู้ยังไงก็คงไม่มีโอกาสรอดกลับมาได้อีก เพราะงั้นการตั้งเป้าหมายไปที่กระโจมตรงกลางเพื่อไปเด็ดหัวตัวการสำคัญจึงน่าจะเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่สุดแล้ว แต่ถ้าพูดถึงวิธีการที่จะไปยังใจกลางค่ายแล้วจับตัวแม่ทัพมาให้ได้ เรื่องนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาแล้วล่ะ
“เข้าใจแล้ว ! ” จางเป๋าพยักหน้าและตอบกลับ
ในระหว่างที่พูด พวกเขาก็มาถึงมาถึงที่ประตูค่ายแล้ว ในตอนนั้นมันก็ได้มีนายทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาหยุดพวกเขาไว้ “ช้าก่อน ! ”
ความเร็วของถังหยินไม่ได้ตกลง ชายหนุ่มรีบเดินมาหยุดตรงหน้านายทหารแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม “สหาย พวกข้ามีเรื่องเร่งด่วนและต้องรีบเข้าไปทันที ! ”
หัวหน้ายามส่ายหัวและพูดอย่างมั่นคง “ไม่ได้ ! ถ้ายังไม่มีคำสั่งจากเบื้องบน ยังไงข้าก็ให้พวกเจ้าผ่านไปไม่ได้”
“แต่พวกข้ารีบจริง ๆ นะ ! ”
“ไม่ว่าจะรีบแค่ไหนข้าก็ทำให้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นนาย กองหยูเองก็เข้าไปรายงานให้แล้ว“
ชายหนุ่มรู้ว่าคนที่พูดถึงนั้นคือชายที่ขี่ม้ามาเมื่อครู่ ถ้าหากรอช้ากว่านี้พวกเขาอาจจะถูกจับได้ “ถ้างั้น เขาจะกลับออกมาเมื่อไหร่ ? ”
“ข้าจะไปรู้เหรอ ? ”
“สหาย นี่พวกเราตกลงกันไม่ได้จริง ๆ สินะ ? ”
“ไม่มีทาง ! ”
เมื่อได้ยินการตัดสินใจที่ตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย ถังหยินจึงหัวเราะและพยักหน้า เขาหันไปมองทหารนับร้อยที่อยู่ด้านหลัง “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ควรจะรอก่อนก็แล้วกัน” พูดจบรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไป สายตาของเขาบ่งบอกเป็นเชิงนัยว่าให้เตรียมเข้าโจมตี ทันใดนั้นชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปจับด้ามดาบของตัวเอง
เมื่อถังหยินหันกลับมา หัวหน้ายามที่ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวของเขาก็ได้พูดขึ้นว่า “ถ้าพวกเจ้าเหนื่อยก็นั่งพักกันไปก่อน ข้าว่านายกองคนนั้นยังไม่น่าจะรีบกลับออกมาหรอก”
“โอ้ ? ทำไมกันล่ะ ? ”
“ ท่านอ๋อง…” เหมือนหัวหน้าทหารยามพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็รีบยกมือขึ้นปิดปากทันทีราวกับว่าไม่ควรพูดสิ่งนั้นออกไป “เจ้าไม่ควรถามไปมากกว่านี้!”
ถังหยินกลอกตา เขาปล่อยมือจากด้ามดาบ หมุนตัวกลับ ก่อนจะใช้จังหวะเดียวกันนั้นหมุนกลับไปอีกครั้ง
มันเร็วเกินไป !
เหมือนสายฟ้าที่พุ่งผ่าน ดาบของถังหยินทะลุลำคอของหัวหน้ายามที่ไม่ทันได้รู้เรื่องอะไร ลำคอของเขาเย็นลง ชายผู้นั้นพยายามอ้าปากเพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง หากแต่ก็ไร้ซึ่งเสียง ร่างของเขาล้มลงไปด้านหลัง
ถังหยินดึงดาบเหล็กออกจากลำคอของอีกฝ่าย แล้วกระโดดถอยออกมาเพื่อไม่ให้เลือดกระเด็นมาโดนตัวเขา
ไม่มีใครคิดว่าทหารแคว้นเดียวกันจะฆ่ากันเอง พวกทหารยามยังคงตะลึง ซึ่งชายหนุ่มเองก็ได้อาศัยจังหวะนั้นพุ่งเข้าไปสังหารทุกคนโดยรอบ
ถังหยินพุ่งผ่านยามมากมายและวิ่งไปจนถึงทางเข้า
เพียงแค่ชายหนุ่มเคลื่อนตัวออกมาจากจุดเดิมราว ๆ 3 จั้ง โลหิตมากมายก็สาดกระจายออกมาจากตัวทหารยามโดยรอบ ลำคอของพวกเขาถูกดาบฟันลึกลงไปจนเลือดสีแดงไหลนองไปทั่ว
เมื่อเห็นว่าถังหยินพุ่งเข้าใส่ศัตรู พวกทหารเฟิงที่อยู่ด้านหลังก็กัดฟันและวิ่งตามเขาไปทันที แนวป้องกันของพวกหนิงไม่ได้เตรียมตัวมาอย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ว่าการตอบโต้จะช้าเกินไป แต่ในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเริ่มรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
เมื่อถังหยินเข้ามาในจุดตรวจ ทั้งค่ายก็เหมือนกับระเบิดไปแล้ว
โดยไม่มีเวลาให้ความสนใจกับทหารเฟิงนับ 100 นายด้านหลัง ถังหยินควงดาบแล้วพุ่งไปด้านหน้าราวกับเขาบินได้ ก่อนตรงไปยังใจกลางค่าย
แต่หลังจากวิ่งไปไม่กี่ก้าว พลทหารหนิงกว่า 100 นายก็ได้วิ่งเข้ามาหาชายหนุ่มพร้อมด้วยง้าวในมือที่มีสีเดียวกัน ง้าวนั้นยาวกว่าหอกมาก มันคืออาวุธที่ยาวที่สุด โดยจะมีความยาวประมาณ 1 จั้ง
เมื่อเห็นว่าถังหยินกำลังวิ่งเข้ามา พวกหนิงที่อยู่แนวหน้าก็คำรามแล้วใช้ง้าวพุ่งเข้าใส่อีกศัตรูในทันที ดั่งคำพูดเดิมที่ว่า ยิ่งยาว ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ง้าวกว่า 10 อันพุ่งเข้าใส่ถังหยิน หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ลังเลหรือหยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย เขาทำเพียงถอยหลังกลับไปเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีเพียงเท่านั้น
ถังหยินที่เพิ่งหลีกเลี่ยงการโจมตีรอบแรกของคู่ต่อสู้มาได้ ดังนั้นร่างกายของเขาจึงยังไม่มั่นคง ที่มุมหนึ่งของสายตา ชายหนุ่มก็เห็นเข้ากับทหารหนิงที่วิ่งตามมาอีกชุดพร้อมด้วยง้าวที่เล็งไปยังจุดตายของเขา
ถังหยินทำอะไรไม่ถูก ในตอนนี้เขาสามารถหนีไปได้ แต่เมื่อเห็นทหารแถวแรกของข้าศึกบุกเข้ามาแบบนี้ ชายหนุ่มก็ได้แต่จ้องมองง้าวอันแสนดุดันของฝ่ายตรงข้าม
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายผ่านการฝึกฝนด้านการต่อสู้แบบกระบวนรบมาเป็นอย่างดี การโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่ามีเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวได้สะดวกหรือมีเวลาพักหายใจ ยิ่งไปกว่านั้นง้าวเองก็ยาวเกินไปจนถังหยินไม่สามารถโต้กลับไป เขาทำได้แค่เพียงหลบหลีกมันเท่านั้น
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ๆ หากสิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อไป เขาคงจะไม่สามารถจัดการพวกหนิง และคงได้หมดแรงไปก่อนเป็นแน่
การจะต่อสู้กับพวกที่มีอาวุธยาว หลักสำคัญก็คือต้องเข้าประชิดตัว !
ถังหยินมีประสบการณ์ต่อสู้มาอย่างโชกโชน เขาหรี่ตาลง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังโจมตีมา ชายหนุ่มก็ได้ทำการย่อตัวลง โดยที่ไม่ทันให้อีกฝ่ายใช้ง้าวโจมตีระลอกที่ 2 เขาก็ได้กลิ้งตัวไปข้างหน้าและไปหยุดลงที่เท้าของทหารศัตรู
อ๊า !
ทหารหนิงทั้งหมดตกใจมาก พวกเขาต้องการที่จะหนีและสร้างระยะห่าง แต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว
ก่อนที่ถังหยินจะลุกขึ้น เขาก็เหวี่ยงดาบเป็นแนวยาวเข้าใส่น่องของทหาร 2 นาย เมื่ออาศัยจังหวะที่พวกเขากำลังจะล้มลง ชายหนุ่มก็วิ่งออกมาจากทหารเหล่านั้น ก่อนจะพุ่งเข้าไปยังใจกลางดงศัตรู
ทหารทั้ง 2 กองถูกดึงเข้าหากัน ง้าวในมือพวกหนิงก็สามารถโจมตีได้อย่างเต็มกำลัง แต่ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในระยะประชิด ดังนั้นมันจึงไร้ความหมาย
หลังจากเข้ามาในกลุ่มศัตรู ถังหยินก็เหมือนเสือที่หลุดเข้าไปในฝูงแกะ เขากวัดแกว่งดาบเหล็กในมือของเขาและเจาะผ่านพวกหนิงที่อยู่โดยรอบ
และในตอนที่ถังหยินกำลังเลือดเดือด เขาก็ได้ยินเสียงเรียกร้องจากด้านหลัง “สหายถัง คนพวกนี้ให้พวกเราจัดการเอง!”
ได้ยินแบบนี้ ถังหยินก็จัดแจงกวัดแกว่งดาบเพื่อให้อีกฝ่ายล่าถอยกลับไปเล็กน้อย เมื่อมองไปเขาก็เห็นเข้ากับจางเป๋าพร้อมด้วยทหารเฟิงกว่า 100 นายวิ่งเข้ามาร่วมต่อสู้ด้วย
พวกเขามาได้ถูกจังหวะทีเดียว ! ชายหนุ่มยอมปล่อยการต่อสู้นี้ไว้กับสหายของเขา แล้วรีบวิ่งเข้าไปยังใจกลางค่ายศัตรู ในจุดตรวจนี้มีทหารมากมายก็จริง แต่คนพวกนั้นก็ได้แตกพ่ายไปหมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นการจู่โจมแบบกะทันหัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้มีเวลาตอบโต้ และกำลังอยู่ในช่วงตื่นตระหนก
ในขณะที่ทั้งค่ายกำลังปั่นป่วน ถังหยินก็ใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าไปใจกลางค่าย ที่นั่นเขาได้พบเข้ากับกลุ่มทหารเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง เมื่อเห็นแบบนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะซ่อนตัวเพื่อให้เขาไปถึงใจกลางค่ายได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ในจุดนี้มันก็มีทหารมากเกินไป แถมกระโจมทุกกระโจมก็ยังถูกปิดเอาไว้หมด ไม่ต้องพูดถึงการพุ่งเข้าไปเลย ต่อให้บินได้เขาก็คงเข้าไปไม่ถึงอยู่ดี!
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ นั่นก็ยิ่งทำให้ถังหยินระบุตำแหน่งของแม่ทัพได้อย่างไม่ยากเย็น ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ไม่ห่างจากใจกลางใจกลางค่ายแล้วใช้ดาบในมือตัดผ่านเข้าไปในกระโจม
เขามั่นใจในฝีมือ แต่ก็ไม่ถึงกับมั่นใจที่จะสู้ทหารนับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียวหรอก จังหวะเดียวกับที่ถังหยินเริ่มลงมืออีกครั้ง ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าด้านหลังที่ดังขึ้นพร้อมกับม่านในกระโจมที่เปิดออก ทหารหนิงจำนวนมากกำลังเดินกันออกมา
เสื้อของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากพวกหนิงมากนัก ชายหนุ่มมีหมวกกับเกราะขาว และมีตราสีแดงเข้มตรงกลางอก
พวกทหารตกใจที่เห็นถังหยินที่นี่ พลทหารนายนั้นถามด้วยความตะลึงออกมาว่า “เจ้าเป็นใคร? แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?”
ถังหยินอยู่ในชุดเหมือนคนพวกนี้ก็จริง หากแต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะลงมืออยู่ดี