บทที่ 28
“จะ เจ้าต้องการฆ่าข้างั้นหรือ?” ใบหน้าของฝ่าบาทซีดลงทันตาด้วยความหวาดกลัว
อู่เหมยยิ้มให้แล้วจับใบหน้าของเขาเบา ๆ “ฝ่าบาท ไม่ต้องกังวลไป ต่อให้ท่านตาย ท่านก็จะตายอย่างมีความสุข”
“อ๊า…” ราวกับว่าถูกงูฉก หยูฉางดิ้นรนสะบัดแขนขาสุดชีวิต ทำให้ข้อศอกของเขาไปชนกับซี่โครงของถังหยินจนอีกฝ่ายขมวดคิ้ว
หลังจากที่เกิดเสียงแบบนั้น องค์ชายก็เริ่มสงบลง หัวของเขามึนจากแรงกระแทก ดวงตาไม่สามารถจับจ้องอะไรได้
ภูมิศาสตร์ของเขตหน้าด่านบริเวณประตูตงถือได้ว่าค่อนข้างพิเศษ ที่นี่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูก มันจึงทำให้พื้นที่รอบ ๆ ถูกปิดกั้นเอาไว้ ถ้าหากจะผ่านทางนี้ยังไงก็ต้องไปทางประตูตงเท่านั้น
ในตอนนี้ทหารหนิงก็ได้มาล้อมประตูตงเอาไว้แล้ว
จากระยะไกลจะมองเห็นค่ายทหารมากมายเรียงรายต่อกัน และธงชัยที่โบกสะบัดราวกับป่าไม้ ทั้งหมดก่อเป็นรูปแบบขบวนครึ่งวงกลมด้านนอกประตูตงที่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร
เมื่อพวกเขามาถึงที่สูงเพื่อมองไปยังประตูตงก็ต้องตะลึง
ทั้งอู่เหมยและอู่อิงต่างก็ทำอะไรไม่ถูก รวมไปถึงทหารเฟิงทั้งหมดที่ตามมาด้วย
แน่นอนว่าอู่เหมยเองก็ได้ข่าวเรื่องกองทัพหนิงเดินทางมายังประตูตงเช่นกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะยกกองทัพมาใหญ่ขนาดนี้
ชิวเจิ้นที่อยู่ด้านหลังถังหยินบ่นพึมพำด้วยความตะลึง “น่ะ นี่มันน่าจะมีถึง 4 กองทัพสนาม กำลังพลน่าจะมีราว ๆ 4 แสนได้ไหม?”
อู่อิงที่ตามมาก็หัวเราะขึ้น “ไม่ว่าจะเป็นยังไงแต่ก็ถึงเวลาแล้วล่ะ!”
“พวกมันมีกันมากมายแบบนี้ พวกเราจะผ่านไปยังไง?” หลังเด็กหนุ่มถามจบก็ได้มองไปยังหยูฉางบนหลังม้า
เขาคิดว่าในตอนแรกที่มีองค์ชายอยู่ในมือจะช่วยรับประกันความปลอดภัยให้พวกเขากลับไปได้ แต่หลังจากที่เห็นกองทัพมหาศาลแบบนี้มันเริ่มทำให้ชิวเจิ้นหวั่นเกรง
“การเดินทางครั้งนี้จะยากหรือง่ายก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญของตัวองค์ชายเองแล้วล่ะ” ถังหยินมองลึกลงไปในดวงตา
อู่เหมยเงียบอยู่ตลอด นางคิดเช่นเดียวกับชิวเจิ้น แม้ว่าจะมีฝ่าบาทเป็นตัวประกันแต่ด้วยทหารจำนวนนับแสนแบบนี้มันก็ย่อมมีอะไรไม่คาดคิดแฝงอยู่
เมื่อเห็นนางไม่ได้พูดอะไร ถังหยินก็ถาม “ท่านแม่ทัพอู่ พวกเรายังไม่ไปกันอีกหรือ?”
“ไปหรือ?” หญิงสาวมองเขาอย่างเปล่าเปลี่ยว “ไปไหน?”
ชายหนุ่มกลอกตา “ก็ต้องไปประตูตงอยู่แล้วสิ”
อู่เหมยตัวสั่นและโบกมือให้ “ไม่เป็นไร ให้เราคิดหาทางก่อนเถอะ”
ผู้หญิงก็คือผู้หญิง ไม่ว่าจะมีฐานะเช่นไรแต่นางก็ยังเป็นหญิงสาวอยู่ดี ถังหยินขบริมฝีปากแล้วพูด “ยิ่งเราอยู่ที่นี่นานก็ยิ่งเสียเปรียบนะ” จากนั้นเขาก็ชี้ไปด้านหลัง “ด้านหลังพวกเรามีหยวนกุย กองทัพของเขากำลังตามมา ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้ามาถึงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพวกเรายังอยู่แบบนี้ต่อไปจะเปิดช่องโหว่ให้พวกหนิงมาล้อมเราไว้ได้ แทนที่เราจะรอให้พวกมันมาหาทำไมเราไม่ลองหาทางที่ดีกว่านี้กันก่อนล่ะ?”
คำเหล่านี้ทำให้หญิงสาวตะลึงหนักกว่าเดิม และทำให้ทุกคนมองไปยังถังหยินด้วยสายตาที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะชิวเจิ้นที่พยักหน้าชายหนุ่มด้วยท่าทางยกย่อง
หลังจากครุ่นคิด อู่อิงก็ตอบกลับ “สิ่งที่แม่ทัพถังพูดมามันก็ถูก ถ้าเกิดอีกฝ่ายไม่สนใจชีวิตของหยูฉางล่ะก็พวกเราตายแน่แม้ว่าจะอยู่ที่นี่ก็ตาม บางทีพวกเราอาจจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูก็เป็นได้”
ได้ยินแบบนั้นอู่เหมยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป หญิงสาวสูดลมหายใจแล้วยกมือขึ้นช้า ๆ
ด้วยคำสั่งของนาง ทหารนับร้อยเชิญธงชัยของกองทัพเฟิงขึ้น ในตอนนี้ หากมองจากด้านบนจะดูเหมือนคลื่นทะเลสีดำ
เมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากค่ายหนิงไม่ถึง 200 เมตร ค่ายทหารฝั่งศัตรูเองก็ได้เปิดประตูต้อนรับขับสู้ด้วยกองทหารม้าจำนวนมาก มีราวๆ 5000 นายที่วิ่งออกมาในชุดเกราะสีเงินและหอกสีเดียวกัน
ช่างเป็นกองทหารม้าที่งดงามอะไรขนาดนี้! ถังหยินกะพริบตาให้กับภาพที่เกิดขึ้นเบื่องหน้า
เพียงชั่วพริบตาทหารม้าเหล่านั้นก็เข้ามาล้อมพวกเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา
โดยไม่มีคำสั่งโจมตี พวกเขาจึงจัดรูปขบวนตามเดิม จากนั้นก็แหวกออกเป็นซ้ายและขวาแล้วให้คณะกองนายทหารเดินเข้ามา
ผู้นำของพวกเขาอยู่ในชุดคลุมที่หรูหราแถมยังอายุไม่ถึง 30 เลย เขามีคิ้วที่หนาและดวงตาที่ใหญ่โต ดูดุดัน พวกทหารรอบ ๆ เองก็มีแต่พวกบึกบึนทั้งนั้นแถมยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์อีกด้วย
ชายหนุ่มไม่ได้เดินออกมาทันที คนผู้นี้กลับมาหยุดม้าตัวเองเอาไว้และมองถังหยินดวงสายตาจริงจัง “ใครคือผู้นำพวกเจ้า?”
เสียงของเขาไม่ดังมาก แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและทรงพลัง
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วควบม้าเดินไป อู่เหมยเป็นคนถาม “เจ้าเป็นใคร?”
“หยูเจีย!” เมื่อชายหนุ่มมองมายังหญิงสาว สายตาของเขาเหมือนกับหอกที่ทิ่มแทงเข้าไปในตัวของนาง
นี่คือองค์ชายรองแห่งแคว้นหนิง หยูเจีย!
อู่เหมยตกตะลึง หากแต่นางก็มองไปยังหยูฉางที่อยู่ด้านหลัง พวกเขาเป็นพี่น้องกัน ถึงแม้จะคล้ายกันแต่ก็มีความรู้สึกที่แตกต่างกันมาก
หยูเจียนั้นดูทรงพลังมาก ดวงตาของเขาคมกริบแถมยังมีรัศมีแห่งความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยม สามารถทำให้ทุกคนสามารถยอมรับในตัวเขาได้ แน่นอนว่ามันไม่ได้เกิดมาพร้อมกับเขาหรอก แต่มันต้องใช้เวลาในการสั่งสมมา
ต่างกับหยูฉางอย่างสิ้นเชิง อู่เหมยเริ่มยิ้มออกมา “เราเคยได้ยินเรื่องของฝ่าบาทมามาก แต่พวกเราเพิ่งจะผ่านทางมาและท่านให้การต้อนรับแบบนี้พวกเรา…”
หยูเจียไม่รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ จิตใจของเขาหวังถึงความปลอดภัยของน้องตัวเองเป็นที่สำคัญ “เจ้าไม่ต้องพูดมาก น้องชายของข้าอยู่ไหน”
เขาและหยูฉางเป็นพี่น้องกันจริง ๆ แต่ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดเขากับหยูฉางถือว่าสนิทกันที่สุด
หยูฉางไม่รู้ว่าไปเอาพละกำลังแบบนั้นมาจากไหน แต่เขาก็เงยหน้าขึ้นมองหยูเจียที่อยู่ท่ามกลางกองทหารม้าหนิง หยดน้ำตาเริ่มไหล เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่รอง ช่วยข้าด้วย!”
หยูเจียตัวสั่นเทาเล็กน้อย เขาหันไปสบตาเข้ากับใบหน้าอันน่าสมเพชของหยูฉาง
เกือบจะควบม้าทะยานเข้าไปช่วยอยู่แล้ว แต่เขาก็สงบจิตใจลงได้
สายตาของเขามองไปที่หยูฉางก่อนที่จะมองไปยังถังหยินแล้วพูดด้วยเสียงเศร้าสร้อย “ปล่อยเขาซะ!”
สายตาของหยูเจียเย็นชาประหนึ่งจะแช่แข็งคนให้ตายได้ อย่างไรก็ตามถังหยินก็ไม่ได้ขยับหรือจะส่งเสียงเลย ราวกับว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตน
เห็นแบบนั้นองค์ชายรองก็โกรธมาก ในฐานะของลูกชายคนที่สองแห่งแคว้นหนิง เขาคือคนที่พึ่งพาได้มากที่สุด และแน่นอนว่าเขาต้องได้รับการปฏิบัติตนเป็นอย่างดีมาตลอด เขากัดฟันโกรธจนใบหน้าแทบแดง
เมื่อเห็นแบบนี้อู่เหมยก็เย้ยหยันในใจ ถังหยินดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่เฉยชาได้ในทุกสภาพแวดล้อมเลยสินะ
นางพูดขึ้นมา “ทำไมฝ่าบาทเจียต้องโกรธด้วยเล่า?! ถ้าท่านอยากจะให้พวกเราปล่อยตัวเขา ท่านก็ต้องให้พวกเราผ่านที่นี่ไปก่อนเช่นกัน เมื่อเราผ่านประตูตงไปได้เราจะปล่อยหยูฉางให้ท่าน…”
“พี่สองอย่าไปฟังนาง! นังนี่มันจะฆ่าข้าทันทีที่ผ่านประตูตงเพื่อนำหัวของข้าไปให้กับอ๋องของพวกมัน…” เขาต้องการที่จะให้พี่ชายของเขาช่วยอยู่แล้ว ในเมื่อมีพี่รองอยู่ตรงหน้าแบบนี้ เขาก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดอื่นอีก
“หุบปาก!”
ถังหยินต่อว่าด้วยความหงุดหงิดและตบหน้าอีกฝ่าย
หยูฉางกรีดร้องทันทีจนน้ำตาไหล
หยูเจียเบิกตากว้าง เขามองถังหยินด้วยความโมโห
หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ๆ องค์ชายรองก็สงบตัวเองลง แม้ว่าในใจอยากจะฉีกถังหยินเป็นชิ้น ๆ ก็ตาม ยังไงเสียน้องชายของเขาก็ยังอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย
ผู้เป็นพี่มองหยูฉาง “ต่อไปนี้ห้ามพูดนะ!” หลังพูดจบเขาก็มองไปยังอู่เหมย “เจ้าต้องปล่อยคนของข้าไปก่อน แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป นี่คือข้อตกลงเดียวของข้า!”