บทที่ 56
“เจ้าหมิ่นเกียรติองค์หญิงมิใช่ทางคำพูด แต่เป็นทางการกระทำ!” ถังหยินกล่าว “บางทีเจ้าอาจจะมีเวลาว่างมากจึงทำตัวเช่นนี้ แต่องค์หญิงเหล่า เจ้าคิดจะให้ฝ่าบาทรอไปถึงเมื่อไหร่กัน?”
เหลียวกังกัดฟันด้วยความโกรธ แต่เขาก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย เขาชายตามองถังหยินและหันไปออกคำสั่งกับกองทหารด้านหลัง
เมื่อเห็นคำสั่งจากเขา พวกทหารก็เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าจนถึงประตูเมือง ก่อนที่พวกโมจะถอยกลับไป เหลือแค่เพียงรถม้าขององค์หญิงเท่านั้น
รถม้าขององค์หญิงนั้นถูกเทียมด้วยม้าสีแดงและน้ำตาล 8 ตัว ส่วนตัวรถม้าก็ได้รับการตกแต่งอย่างหรูด้วยมังกรและนกเพลิง ทุกมุมจั่วถูกสลักเอาไว้เป็นอย่างดีและสวยงาม
รถม้ามีขนาดที่กว้างมาก ทั้งประตูและกระจกต่างก็มีม่านสีแดงอยู่ทำให้มองไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ทหารม้ารอบ ๆ ต่างก็มีแต่ทหารหญิง พวกนางขี่ม้าที่สูงใหญ่ พร้อมทั้งสวมใส่ด้วยชุดเกราะสีเงินดูน่าเกรงขาม
ถังหยินมองไปรอบ ๆ และขี่ม้าเข้าไปใกล้
ก่อนที่เขาจะทันได้เข้าไปเฉียด ทหารม้าก็พลันเข้ามาห้ามไว้ สายตาของนางจดจ้องมายังถังหยิน
“…”
บรรยากาศโดยรอบเงียบสนิท ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นเลยแต่น้อยภายในรถม้า ถังหยินรู้สึกผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงถามออกไป “องค์หญิงปลอดภัยดีหรือไม่?”
ไม่มีคำตอบ
และเมื่อชายหนุ่มกำลังตั้งท่าจะถามครั้งที่ 2 ทหารหญิงนางหนึ่งก็ได้เข้ามาห้ามไว้ “ถนนมันขรุขระมาก ฝ่าบาทกำลังพักผ่อนอยู่!”
“ถ้างั้นก็เปิดม่านสิ… ข้าอยากจะตรวจสอบ!” ถังหยินพูดด้วยความจริงจัง
“เจ้ากล้าดียังไง!” ทหารหญิงนางนั้นโกรธ “เจ้าเป็นใครกัน กล้าดียังไงถึงได้พยายามทำเช่นนี้ ไม่กลัวจะโดนลงทัณฑ์บ้างหรือ?”
ถังหยินโกรธมาก เขาประหลาดใจที่สตรีนางนี้กล้าพูดแบบนี้กับตน
ชายหนุ่มเอียงคอและพูด “ข้าต้องทำให้แน่ใจว่าฝ่าบาทอยู่ในรถ ให้ฝ่าบาทพูดหรือไม่ก็เปิดม่านให้ข้าเห็น ไม่งั้นพวกเราก็อยู่ที่นี่กันทั้งแบบนี้นั่นแหละ!”
“เจ้ากล้าดียังไง!” แม่ทัพหญิงโกรธจัด แม้ว่าราชวงศ์จะเสื่อมอำนาจลงไปมาก แต่ยังไงเสียองค์หญิงก็ยังคงมีตำแหน่งที่สูงศักดิ์อยู่ดี
แม่ทัพหญิงชี้นิ้วไปที่ถังหยินด้วยความโมโหพร้อมชักดาบแล้วชี้ไปที่อีกฝ่าย “เจ้าสารเลว!”
มันไม่ใช่เรื่องของชายหนุ่มอยู่แล้ว เขาแค่อยากจะดูอะไรสนุก ๆ เท่านั้นเอง แท้ที่จริงแล้วถังหยินเพียงแค่ต้องการจะยั่วยุให้แม่ทัพผู้นี้โกรธเท่านั้น กู่เยว่ และหลีเทียนต่างก็ตกตะลึงกับท่าทีของอีกฝ่ายมาก ทั้งสองเห็นท่าไม่ดี จึงชักดาบออกมาเตรียมพร้อม
ถังหยินโบกมือเพื่อให้พวกเขาสงบสติลง ก่อนที่ชายหนุ่มจะยิ้มให้กับนางแล้วทำเป็นไม่เห็นอะไร “ข้ายืนกรานคำเดิม”
แม่ทัพหญิงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงกับคนแบบนี้ เหตุการณ์เช่นนี้นางพึ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ถ้าหากฆ่าอีกฝ่ายทิ้งไป น่ากลัวว่าคงจะไม่ใช่เรื่องดี
เมื่อเห็นว่านางนิ่งเฉย เสียงอันหวานหยดย้อยก็ดังมาจากในรถ “เสี่ยวมิน ถ้าเขาอยากจะตรวจสอบก็ให้เขาทำเถิด ไม่มีใครสนใจราชวงศ์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นกับตัวข้าเองก็คงไม่เช่นกัน!”
ถังหยินได้ยินแบบนั้นก็ประหลาดใจ ไม่ใช่เรื่องที่มีคนอยู่ในรถม้า หากแต่เป็นเพราะเสียง
เสียงนี้ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ซึ่งชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเคยได้ยินมาก่อน หากแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาเคยได้ยินมาจากไหน เขาจะไปเคยได้ยินเสียงขององค์หญิงจากที่ไหนได้กัน?
ชายหนุ่มตะลึงจนพูดไม่ออกอยู่นาน
ในตอนนี้เองที่แม่ทัพหญิงดึงม้าถอยกลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา นางตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ถ้าเจ้าอยากจะตรวจสอบก็ทำเลย แต่เจ้าจะต้องได้ชดใช้แน่!”
เขาอยากจะเห็นหน้านางที่อยู่ในรถม้าว่าทำไมเขาถึงคุ้นเคยกับเสียงของนางนัก แต่การทำเช่นนั้นก็ดูจะเป็นการหมิ่นเกียรติมากเกินไป ซึ่งถ้าเกิดทำแบบนั้นจริง ๆ เกรงว่าชายหนุ่มคงจะโดนรายงานและเจอเข้ากับปัญหาอย่างแน่นอน
เขาประกบมือเข้าด้วยกัน “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องโกรธไป ข้าน้อยแค่ต้องการการยืนยันว่าท่านยังอยู่ดีในรถม้า แค่นี้ข้าน้อยก็สบายใจแล้ว” จากนั้นก็หันไปออกคำสั่ง “คุ้มครององค์หญิงเข้าไปในเมือง!”
ฉับพลัน ทหารทั้ง 2 พันนายของกองพันที่ 2 ก็พากันกระจายตัวออกเพื่อเปิดทางให้รถม้าขององค์หญิงวิ่งเข้าไปในเมือง หลังจากเดินผ่านไป ถังหยินก็หันมองไปยังเหลียวกังที่กำลังทำหน้าผิดหวัง “ขอบคุณสำหรับการคุ้มกันองค์หญิง ลาก่อน!” พูดจบเขาก็ควบม้ากลับเข้าไปในเมือง
เมื่อชายหนุ่มกำลังจะกลับออกไป เหลียวกังก็ได้เอ่ยท้าทายออกมาว่า “ถังหยิน นี่เป็นโชคชะตาที่ทำให้ข้ากับเจ้าได้มาเจอกันที่ป้อมปราการแห่งนี้แน่ ๆ ข้าละสงสัยจริง ๆ ว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป” ระหว่างที่เขาพูดก็ชักดาบออกมาโบกไปมา
ถังหยินหัวเราะ บอกได้เลยว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่อ่อนแอ ทั้งยังเป็นคนที่เก่งกล้ามากอีกด้วย แต่ถึงอย่างงั้น การสู้กับคนผู้นี้มันกลับเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ อันดับแรกเลย แคว้นเฟิงและโมไม่มีทางต่อสู้กัน เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรอยู่แล้ว
ถ้าหากเขาไม่สามารถฆ่าได้ งั้นก็ต้องได้อะไรตอบแทนมาบ้าง ซึ่งถังหยินเองก็ไม่อยากจะทำอะไรแบบนั้น
ชายหนุ่มส่ายหัว “ข้าต้องขออภัยด้วย แต่ทว่าเรื่องแบบนี้ข้าไม่สนใจ” จากนั้นก็วิ่งกลับเข้าเมืองไป
เหลียวกังตะโกน “แล้วเจ้าจะไปไหน?”
ถังหยินยักไหล่ “กลับเข้าไปข้างใน”
“หึ เจ้าคนขี้ขลาด เจ้าไม่เหมาะที่จะเป็นแม่ทัพหรอก!” แม้จะพูดมีคำสบประมาทออกไปมากมาย แต่เขาก็อยากจะให้ถังหยินสู้กับตน
ซึ่งทางฝ่ายถังหยินนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดเหล่านั้นสักเท่าไหร่ คนผู้นี้ไม่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แล้วจะไปสนใจทำไม?
อย่างไรก็ตาม ในสายตาคนอื่นนั้น พวกเขากลับมองชายหนุ่มว่าเป็นคนขี้ขลาดไปแล้ว พวกทหารม้าจากแคว้นโมพากันหัวเราะออกมาด้วยท่าทีเย้ยหยัน
ถังหยินเมินการกระทำดังกล่าวและกลับเข้าไปยังป้อมปราการ ก่อนที่พวกทหารในป้อมจะรีบปิดประตูทันที
เมื่อเห็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็พากองทหารม้าตัวเองถอยกลับไป เมื่อถังหยินเข้ามาในเมือง เขาก็หันได้สบตาเข้ากับแม่ทัพหญิงที่อยู่ข้างรถม้า
สายตาของนางเฉียบคมดั่งนกเพลิง ริมฝีปากที่สวยงามกำลังหัวเราะใส่เขา “เมื่อครู่เจ้ายังทำตัววางก้ามอยู่เลยนี่ แล้วทำไมถึงหนีมาแบบนี้กัน? เจ้าคนขี้ขลาด!” หลังพูดจบนางก็ควบม้ากลับไปยังที่เดิม
เหมือนกับว่านางรีบมาเพื่อเย้ยหยันถังหยินก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับการที่องค์หญิงมีทหารประจำตัวเช่นนี้?
นางอายุเท่าไหร่กัน? นี่นางโตเป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง? เขาหยุดครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวไม่ได้เลย ทันใดนั้นอิงปู้ก็วิ่งลงมาจากกำแพงเมืองมาหยุดที่หน้าถังหยิน “พวกโมถอยกลับไปแล้ว”
“ดีแล้ว” ถังหยินตอบกลับแบบไม่สนใจ
“แม่ทัพถัง…” อิงปู้ลังเลที่จะพูด
“ถ้าแม่ทัพอิงมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอ แล้วทำไมถึงยอมให้พวกเขาดูหมิ่นแบบนั้นกัน?”
ถังหยินส่ายหัว “เจ้าพวกนั้นไร้ค่าเกินไป”
“อะไรนะ?” อิงปู้ไม่เข้าใจ
“ถ้าข้าอยากจะฆ่าใครสักคนหนึ่ง ข้าก็คงไม่เลือกหรอก เพราะข้าจะฆ่าให้หมดเลย!” ถังหยินยิ้มออกมา “แต่ถ้าเขาแค่อยากจะปะทะคารมกับข้า ถ้างั้นมันก็ถือว่าเป็นแค่เรื่องไร้สาระ”
“หา?” อิงปู้ตะลึง เขามองถังหยินด้วยสายตาว่างเปล่า คำพูดเหล่านั้นมันช่างมั่นใจเกินไปราวกับว่าไม่ได้ให้ความสนใจกับแม่ทัพหนุ่มคนนั้นเลย หลังจากหายตะลึง เขาก็ส่ายหัวด้วยความชื่นชอบนิสัยทระนงตนของถังหยิน
“แม่ทัพอิง ข้าอยากจะคุ้มกันองค์หญิงกลับไปที่เมืองหลวง ไว้เจอกัน!” ถังหยินประกบมือให้แล้วกล่าวลา
อิงปู้ถอนหายใจ “หลังจากวันนี้แล้ว ข้าเกรงว่าพวกเราน่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้วล่ะ”
“ถ้าโชคชะตากำหนดไว้ พวกเราจะต้องได้เจอกันอีกแน่ ลาก่อน” ถังหยินยิ้มออกมา
“ลาก่อนสหายถัง รักษาตัวด้วย”
เมื่อได้ยินคำเรียกนี้เขาก็ตอบกลับ “สหายอิง ข้าหวังว่าท่านจะได้กลับมาที่เมืองหลวงในเร็ววัน”
คำพูดนี้ทำเอาอิงปู้แทบจะร้องไห้ เขาก้มหัวลงและพยายามทำเป็นไม่สนใจ “ไปซะ อย่าทำให้งานต้องช้าไปมากกว่านี้เลย!”
“รักษาตัวด้วย!”
“เจ้าก็เช่นกัน!”
ถังหยินพากองทหารของเขาคุ้มกันองค์หญิงไปยังเมือง หยานแห่งแคว้นเฟิง
หลังจากผ่านเมืองกง และเพราะว่ายังเป็นเวลาเช้าตรู่ ขบวนทัพจึงเคลื่อนที่ผ่านไป หลังออกจากเมืองกง ชิวเจิ้นก็ควบม้าเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม อีกฝ่ายนั้นหยิบผ้าไหมออกมาจากที่เก็บของของตน ก่อนมอบให้กับถังหยิน “สหายถังดูนี่สิ”
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร ทว่าเมื่อถังหยินหยิบผ้าไหมพวกนั้นมาดู เขาก็พลันพบว่าภายในนั้นมีลวดลายต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด “อะไรน่ะ?”
“มันคือแผนที่! ตำแหน่งที่อยู่ในนั้นคือตำแหน่งของกองโจรที่ใกล้กับเมืองกง”
ถังหยินกะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความงุนงง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขากัน?
ชิวเจิ้นกระซิบบอก “สหายถังคงไม่ได้คิดจะพานางกลับไปยังเมืองง่าย ๆ อยู่แล้วใช่ไหม? นี่อาจจะเป็นโอกาสที่เจ้าจะได้แสดงพลังออกมานะ!”
ถังหยินเลิกคิ้วขึ้น “พูดให้ชัดเจนหน่อย”
“จัดการพวกโจรที่จะเข้ามาทำร้ายกงจู่ เพื่อแสดงความสามารถในการพิทักษ์ฝ่าบาทไปในตัว นี่แหละคือสิ่งที่ท่านอ๋องต้องการแน่ ๆ บางทีมันอาจทำให้เจ้าได้รางวัลใหญ่จากฝ่าบาทด้วยนะ!”