บทที่ 60
หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของชิวเจิ้น ถังหยินก็พยักหน้าให้ ถึงแม้ว่าเขาจะคิดว่ามันไร้สาระก็ตาม
จากที่เขาตรวจสอบกำลังพลตัวเองในรอบครึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาก็ต้องภูมิใจกับทักษะของเหล่าหัวหน้ากองทั้ง 10 มาก เมื่อเขารายงานให้อู่เหมย ชายหนุ่มก็ได้รับรางวัลกลับมา ซึ่งของรางวัลพวกนี้เขาก็ได้แจกจ่ายให้กับแต่ละคนเรียบร้อยแล้ว ส่วนรางวัลอีกส่วนหนึ่งที่เป็นของตัวเขาเองนั้น ชายหนุ่มก็ได้แต่ปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ เพราะเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาไปใช้ทำอะไรดี
เขาพยักหน้า “เจ้าพูดถูก” จากนั้นก็มองไปที่กู่เยว่และ หลีเทียน “พวกเจ้าคิดว่าไง?”
จริง ๆ แล้วทั้งสองเองก็ไม่อยากจะมอบของพวกนี้ให้ทางการมากเท่าไหร่ พวกเขาอยากจะแอบเก็บมันไว้ใช้เองด้วยซ้ำ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของชิวเจิ้น พวกเขาก็เริ่มคิดจะใช้มันในทางอื่นบ้างแล้ว
พวกเขาตอบพร้อมกัน “พวกเราเห็นด้วยกับรองแม่ทัพ!”
“ถ้างั้น!” ถังหยินถอยออกมา ก่อนจะย่อตัวก้มมองกล่องทั้ง 2 ใบ เขาหยิบกล่องอันที่เขาพึงพอใจออกมาวางมันบนเสื่อ จากนั้นก็โบกมือให้กับทั้งสาม “แบ่งกันไปเลย!”
“ฮ่าๆ” พวกเขาหัวเราะออกมาพร้อมกัน ไม่มีใครที่ไม่ชอบเงินทองอยู่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่านั่นย่อมไม่นับถังหยิน
ในที่สุดภารกิจครั้งนี้ก็จบลง มีพวกมันมากมายที่ถูกจับมา ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกประหารโดยถังหยินเสียเรียบ
พวกโจรที่ถูกจับตัว พวกเขาต่างก็ตกอยู่ในความสิ้นหวัง พากันกรีดร้องขอความช่วยเหลือออกมา
พวกทหารไม่สนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้ว พวกเขาเพียงแค่ต้องทำตามคำสั่งที่ได้มาจากหัวหน้าเท่านั้น
เพียงชั่วพริบตาพวกโจรหลายร้อยคนก็ตายลงด้วยน้ำมือของเหล่าทหาร ก่อนที่ชิวเจิ้นจะให้พวกเขาเตรียมกล่องใบใหญ่ออกมาเพื่อเก็บศพของพวกมันไว้เป็นหลักฐาน เพื่อที่เมื่อกลับไปยังเมืองหยานจะได้รับรางวัล
กู่เยว่และหลีเทียนเองก็ใช้โอกาสนี้เอากล่องเงินกล่องทองไปซ่อนไว้ ทั้งนี้ก็เพื่อจะกลับมาเอามันไปในภายหลัง ผลการต่อสู้นั้นเป็นไปตามที่คาดเดา ถึงแม้มันจะไม่ง่ายเลยที่ทหาร 2 พันนายจะต่อกรกับโจรภูเขาโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
ถังหยินพาทหารเหล่านั้นกลับมาอย่างอาจหาญ และก่อนที่จะออกจากแหล่งซ่องสุมของโจร ชายหนุ่มก็ได้จุดไฟเผาที่นี่เพื่อไม่ให้ใครนำมันไปใช้เป็นฐานได้อีกในอนาคต
ในตอนนี้พวกเขาผ่านป่าเขาจนกลับมาถึงจุดรวมพล พวกเขาก็ต้องพบว่าคนอื่น ๆ ที่กำลังรออยู่นั้นร้อนใจกันมากแค่ไหน ทุกคนแทบจะรอไม่ไหว ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งของถังหยิน ป่านนี้พวกเขาคงกระโจนเข้าไปสมทบนานแล้ว
เมื่อเห็นพวกถังหยินกลับมาอย่างปลอดภัย หัวหน้ากองทั้ง 8 ก็รีบวิ่งเข้ามาหาชายหนุ่ม “แม่ทัพถัง ท่านไปเสียนานเชียว พวกโจรป่ามันมีจำนวนเยอะมากเลยหรือ?”
ตอนที่พวกเขาต่อสู้กันโจรกลุ่มนั้น ถังหยินก็ได้เรียกเกราะปราณออกมา ทำให้ไม่มีรอยเลือดติดตัวเขาเลย แต่กับ กู่เยว่และหลีเทียนนั้นกลับต่างกันออกไป
“มีพวกมันมากเป็นพันคนเลยทีเดียว” หลังจากเดินมาอย่างเหนื่อยอ่อน ชิวเจิ้นก็นั่งพักลง
“เอ๋? เยอะมากขนาดนั้นเลยหรือ?” ทั้งแปดตะลึง
ชิวเจิ้นโบกมือและตะโกน “เอากล่องพวกนั้นมา!”
ไม่นานนัก ทหารสี่นายก็เอากล่องที่เต็มไปด้วยศพพวกโจรตามมา เมื่อทุกคนเห็นมันก็แทบจะมีสีหน้าที่บิดเบี้ยว โดยเฉพาะอัยเจียที่ถึงกับเกือบอ้วกออกมา
“มีพวกมันเยอะมากก็จริง แต่ก็ถูกกำจัดไปหมดแล้ว นอกจากนี้พวกเรายังทำการโจมตีฐานที่มั่นของพวกมันอีกด้วย เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้พวกเราเสียเวลา” ชิวเจิ้นอธิบายแบบครึ่งจริงครึ่งเท็จ
“อย่างงี้นี้นี่เอง” พวกหัวหน้ากองทั้ง 8 พยักหน้าเข้าใจ พวกเขาพากันมองเหล่าทหารที่เต็มไปด้วยเลือดด้วยความดีใจและอิจฉาที่ปนเปกันไป
ถังหยินยังไม่ได้ลงม้า “ดูแลคนเจ็บก่อน ข้าไปจะไปรายงานฝ่าบาท”
นางไม่ใช่เจ้านายของเขาก็จริง แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ควรรายงานให้อีกฝ่ายรู้บ้าง ครั้งนี้แม่ทัพหญิงไม่ได้ยั่วยุหรือทำให้งานมันยากขึ้นแต่อย่างใด นางรายงานเรื่องนี้ให้กับองค์หญิง ก่อนที่จะเรียกให้ถังหยินเข้าไป
เมื่อมาถึงหน้ารถม้า ถังหยินก็ลงจากม้าและประกบมือเข้าด้วยกัน “ฝ่าบาท พวกโจรป่าจำนวน 1,100 คนถูกกำจัดหมดแล้ว ขอท่านโปรดสบายใจได้”
“เหนื่อยหน่อยนะแม่ทัพถัง” เสียงนางดังมาจากในรถ ครั้งนี้น้ำเสียงไม่ได้เข้มงวดเหมือนคราวก่อน
“มันเป็นงานของข้าน้อยอยู่แล้ว”
“แม่ทัพถัง!”
“ข้าน้อยอยู่ตรงนี้แล้ว”
“ข้า… ข้าออกไปเดินสูดอากาศได้หรือไม่?”
เขาไม่คิดว่านางจะถามเขาแบบนี้ และไม่รู้ด้วยว่าจะต้องตอบอย่างไร แม่ทัพหญิงกล่าวกับเขา “ตลอดทางที่ผ่านมา ฝ่าบาททรงนั่งอยู่แต่ในรถไม่กล้าเสด็จออกมา”
อะไรคือการไม่กล้าออกมา? ถังหยินไม่เข้าใจและหัวเราะ “หรือว่าจะมีปีศาจด้านนอกกัน?”
แม่ทัพหญิงตะลึงในคำพูดของเขา แต่เมื่อคิดได้ว่ามันเป็นการดูหมิ่น สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “แม่ทัพถัง โปรดระวังคำพูดด้วย”
ชายหนุ่มจ้องมองพร้อมขมวดคิ้ว เขาไม่อาจทนความเย่อหยิ่งระดับนี้ได้อีกต่อไป “ถ้าฝ่าบาทต้องการจะออกมาก็โปรดเสด็จออกมาตามพระประสงค์เถิด ต่อให้มีปีศาจอยู่ข้างนอก ข้าน้อยก็จะปกป้องท่านเอง”
“หึ เจ้าน่ากลัวกว่าปีศาจเยอะเลย!” แม่ทัพหญิงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว
โครม
เสียงกระแทกที่ดังขึ้นพร้อมกับม่านในรถที่เปิดออก ถังหยินเงยหน้าขึ้นทันทีและเห็นภาพของคนที่อยู่ข้างในรถม้า ทันทีที่เห็นคนตรงหน้า ชายหนุ่มก็ถึงกับลืมหายใจ
หญิงสาวที่อยู่ข้างในมีอายุประมาณ 18 หรือ 19 เท่านั้น แต่กลับสวยงามมาก
ผิวของนางขาวผ่องดั่งหยดน้ำ พร้อมทั้งยังมีใบหน้าที่ได้รูป เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้ทุกคนลืมเลือนทุกสิ่งในโลกนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
เรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่านางนั้นต้องเป็นเทพธิดาบนฟากฟ้าที่ลงมาจุติบนพื้นโลกเป็นแน่ ความงามของนางไม่ใช่แค่เพียงสวยเท่านั้น แต่ยังดูศักดิ์สิทธิ์จนไม่มีใครสามารถละสายตาได้เลย
เมื่อเห็นถังหยินตะลึงแบบนี้ แม่ทัพหญิงก็พลันพร่ำบ่นถึงการกระทำนี้ทันที ผู้ชายทุกคนที่ได้เห็นก็ไม่ต่างจากถังหยินในตอนนี้เท่าไหร่ ที่กล่าวว่าไม่มีปีศาจร้ายอยู่ข้างนอกนั้นคือความสัตย์จริง ทว่าเมื่อชายใดที่ได้เห็นนาง พวกเขาก็มักจะกลายเป็นปีศาจร้ายขึ้นมาเสียอย่างงั้น!
แม่ทัพหญิงชักดาบออกมาสะกิดแขนของถังหยิน “เกิดอะไรขึ้น? ถึงกับตกตะลึงเลยหรือ? นี่เจ้าคงจะไม่กลายเป็นปีศาจร้ายใช่ไหม?”
ชายหนุ่มที่ได้สติจู่ ๆ ก็ตะโกนออกมา “คริสทัล?!”
แม่ทัพหญิงมองเขาอย่างเย้ยหยัน
“ข้าได้ยินหลายคนเปรียบเทียบฝ่าบาทกับนางฟ้าหรือเทพธิดา แต่เจ้านี่สร้างสรรค์ดีนะ ถึงได้เปรียบให้เหมือนกับ คริสทัลเนี่ย?!”
ถังหยินเมินนางและจ้องมองฝ่าบาท
พูดตามตรง ความคุ้นเคยก่อนหน้านี้หาใช่มาจากเขาไม่ หากแต่เป็นหยานหลี่ต่างหากที่รู้จักนาง!
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้คุ้นเคยกับเสียงนี้ ใช่แล้ว เสียงนี้เหมือนกับเสียงของคริสทัลอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
ในเวลาเดียวกันเขาก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดในใจ ความเจ็บปวดที่ถูกทรยศหักหลังจนแทบจะทำให้เขาพังทลายลงมา บางทีการที่เขารักคริสทัลมากมันก็ทำให้เขาเกลียดนางมากด้วยเช่นกัน
“ทำไมถึงทำกับข้าแบบนี้?”
ถังหยินกัดฟันพูดออกมาพร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณสีดำรอบตัว นิ้วทั้ง 10 กำแน่นเข้าหากัน
ตอนนี้แม่ทัพรู้ตัวแล้วว่าถังหยินไม่ได้ตะลึง หากแต่เขากำลังปล่อยจิตสังหารออกมาเตรียมสังหารองค์หญิง
“ถังหยิน… เจ้าคิดจะสังหารฝ่าบาทงั้นหรือ?” นางรีบเข้ามายืนเบื้องหน้าองค์หญิง
ชายหนุ่มเมินนาง ดวงตาของเขาจ้องทะลุไปยังองค์หญิงที่อยู่เบื้องหลัง
“ทำไมเจ้าต้องหักหลังข้า? ทำไมต้องทรยศข้า? เจ้าหลอกใช้ข้าสินะ?” เขาค่อย ๆ เดินเข้าไป
ตอนนี้เขาไม่ใช่เขาอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นหยานหลี่
คำพูดคำจาของชายหนุ่มนั้นคล้ายกับว่าเขานั้นรู้จักองค์หญิง แต่แม่ทัพหญิงก็มั่นใจว่าทั้งสองไม่เคยพบกันมาก่อนแน่ เพราะพวกนางเติบโตมาด้วยกัน ถึงแม้จะเคยพบผู้คนมามากมาย หากแต่กับถังหยินนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน
หยินโรวเองก็ตะลึงกับภาพเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครกล้าทำตัวแบบนี้กับนางมาก่อน
“อย่าเข้ามามากกว่านี้นะ!” แม่ทัพหญิงชี้ดาบไปยังเขา และในเวลาเดียวกันพวกแม่ทัพหญิงคนอื่น ๆ ก็เข้ามาล้อมชายหนุ่มเอาไว้
ชิวเจิ้นที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเหตุการณ์ในครั้งนี้ จึงทำให้เขารีบวิ่งเข้ามาด้วยความตระหนก
เมื่อพวกเขาเห็นถังหยินยืนต่อหน้าองค์หญิง โดยมีเหล่าองครักษ์ล้อมรอบ เด็กหนุ่มก็ตกตะลึงจนแทบจะบ้าตาย “หยุดนะแม่ทัพถัง! นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นเนี่ย?”