บทที่ 70
เรื่องที่เกิดขึ้นกับถังหยิน อู่หยู และเหลียงซิงนั้นจะถูกเก็บเป็นความลับภายในราชสำนักเท่านั้น ห้ามแพร่งพรายให้ใครต่อใครได้ฟังเด็ดขาด !
เหตุผลของอู่หยูก็ง่ายมาก เพราะด้วยกฎของกองทัพที่ว่า ถ้าหากว่ามีการทำคุณงามความดีที่มากพอ คนที่ทำก็ต้องได้รับรางวัล ดังนั้นงานคุ้มครองฝ่าบาทของถังหยินในครั้งนี้เองก็ต้องได้รับรางวัลเช่นกัน ซึ่งจ้านฮัวเองก็ตั้งใจว่าจะตกรางวัลให้ชายหนุ่มอย่างงามเลยทีเดียว
อ๋องแห่งแคว้นเฟิงเอง เมื่อได้ฟังคำพูดของอู่เหมย เขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลพอตัวจึงพยักหน้าให้ แต่ก่อนที่ท่านอ๋องจะทันได้พูดอะไร เหลียงซิงก็ก้าวออกมาพร้อมกล่าวว่าถังหยินนั้นยังไม่พร้อมที่จะแบกรับภาระหนักขนาดนั้น !
ด้วยตำแหน่งแม่ทัพฝั่งตะวันตกเป็นรองเพียงแค่แม่ทัพใหญ่เท่านั้น
เมื่อตัดสินจากฝีมือและอายุของถังหยินแล้ว จ้านฮัวก็รู้สึกว่าเหลียงซิงทำตัวไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย เขาเคาะโต๊ะเบา ๆ เพื่อหยุดการทะเลาะกันของ 2 คนนี้ “รางวัลสำหรับแม่ทัพถังได้ถูกประกาศออกไปแล้ว และข้าก็ไม่อาจคืนคำ ไม่มีใครสามารถขัดขวางเรื่องนี้ได้”
ได้ยินแบบนี้หัวใจของเหลียงซิงก็สั่นเครือ เขาก้มหัวกลอกตาเพื่อวางแผนอื่นแทน
เขาขบริมฝีปากให้กลายเป็นรอยยิ้ม “ข้าแต่ฝ่าบาทผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นเฟิง ในเมื่อท่านตั้งใจจะแต่งตั้งแม่ทัพถังให้ยิ่งใหญ่ ข้าก็ไม่คิดจะขัด แต่ตำแหน่งนั้นจะต้องถูกเปลี่ยน!”
อู่หยูขมวดคิ้วสงสัยในความเจ้าเล่ห์ครั้งนี้อีกครั้ง
จ้านฮัวรู้สึกสนใจจึงถามต่อ “แล้วเสนาบดีเหลียงสนใจตำแหน่งใดสำหรับเขาหรือ ?”
“อย่างน้อยถ้าไม่ใช่แม่ทัพเจิ้นซี ก็ขอเป็นแม่ทัพเจิ้นเป่ยเถิด แม่ทัพถังจะต้องไม่อยู่ที่เมืองเพื่อทำหน้าที่”
“เจ้าหมายความว่ายังไงกัน ? ”
“แม่ทัพถังเป็นผู้ใช้ศาสตร์มืด เขาไม่มีทางเข้าพวกกับแม่ทัพคนอื่น ๆ แน่ ถ้าจะให้เขาอยู่ที่นี่ข้าเกรงว่าคนอื่นจะมีข้อครหานินทาหรือไม่ถูกกันก็เป็นได้ มันอาจทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งในกองทัพซึ่งจะเป็นผลเสียในภายภาคหน้า แถมแม่ทัพถังยังเก่งกาจด้วยอายุเพียงเท่านี้ แน่นอนว่าการที่ให้เขาทำหน้าที่นอกเมืองดีกว่าจะให้เขามานั่งอุดอู้ในเมืองมิดีกว่าหรือฝ่าบาท ? ”
“แทนที่จะให้แคว้นเฟิงเพาะเลี้ยงทหารเอาไว้มากมายเพื่อเสียเงินอย่างไร้ประโยชน์ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าแม่ทัพถังควรจะไปทำหน้าที่ป้องกันเขตเหนือเสียมากกว่า ฝ่าบาทจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดอีก และมีเวลาไปทำการศึกกับพวกหนิงและพวกโม”
อู่หยูตะลึงมาก ดวงตาของเขามองไปยังเหลียงซิงด้วยเหตุผลที่อีกฝ่ายพูดมานั้นมันฟังขึ้นมากทีเดียว เหตุเพราะทางด้านเหนือนั้นติดกับสมาพันธรัฐมอร์ฟีส ซึ่งพวกมันก็ชอบที่จะรุกรานมาอยู่บ่อยครั้ง
ชายชราได้แต่ก่นด่าสาปแช่งเหลียงซิงจากในใจ เพราะเขาลงทุนไปมากกับการส่งเสริมถังหยิน ถ้าเกิดว่ากลับกลายเป็นผลให้ถังหยินถูกส่งไปที่ชายแดน ถ้างั้นทุกอย่างที่ทำมามันก็จะสูญเปล่า
เมื่อมองไปยังเหลียงซิงที่มีชัยชนะอยู่ในกำมือ อู่หยูก็กดความโกรธเอาไว้ “ฝ่าบาท แม่ทัพถังนั้นเต็มไปด้วยความสามารถ ถ้าหากเราส่งเขาไปยังเขตปิงหยวน ข้าเกรงว่าจะเป็นการทำให้เขา…“
ก่อนจะทันพูดจบ เหลียงซิงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “เจ้าหมายความว่ายังไง ? หรือว่าเสนาบดีอู่คิดว่าทางเหนือไม่มีความสำคัญกัน ? หรือเจ้าคิดว่าสถานการณ์ที่นั่นมันกำลังดำเนินไปได้ด้วยดีหรือยังไง ? ”
อู่หยูขมวดคิ้ว “ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“ถ้างั้นแล้วทำไมถึงไม่อยากให้แม่ทัพถังไปยังเขตนั่นล่ะ ? ”
ครั้งนี้ชายแก่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
จากนั้นจ้านฮัวก็หัวเราะออกมา “พวกเจ้าทั้งสองไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันหรอก ข้ายอมรับความเห็นของเจ้า ข้าคนนี้เห็นด้วยที่จะแต่งตั้งถังหยินให้เป็นแม่ทัพเจิ้นเป่ยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะถูกส่งไปยังเขตปิงหยวนเพื่อเป็นผู้ว่าเขตและคอยปกป้องที่นั่นทันทีที่เขาไปถึง !”
“ท่านอ๋องช่างปรีชาสามารถยิ่งนัก” เหลียงซิงรีบกล่าวชื่นชม
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความดีใจ เมื่อครั้งนี้อู่หยูจอมเจ้าเล่ห์พ่ายแพ้ให้กับจน รู้รู้กันอยู่ว่าที่แห่งนั้นเป็นไร ต่อให้เป็นถังหยินเอง เขาก็น่าจะจบลงเหมือนกับคนอื่น ๆ ยากที่จะหนีพ้นความตาย ! และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นแผนกำจัดเขาทางอ้อมแบบจับมือใครดมไม่ได้ ต่อให้ถังหยินรอดตายมาก็ไม่อาจเป็นภัยต่อเขาที่อยู่ในเมืองหลวงได้อีก แถมพวกอู่เองก็ช่วยเจ้าหนุ่มนั่นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว !
คิดได้แบบนี้รอยยิ้มบนหน้าของเขาก็ชัดเจนขึ้น ก่อนที่จะหันมองไปยังอู่หยูและพูดว่า “เสนาบดีอู่ นี่ไม่ใช่ด้วยเรื่องส่วนตัวหรอกนะ”
ได้ยินแบบนี้อู่หยูแทบจะระเบิดความโกรธ เขากัดฟันแล้วฝืนยิ้มออกมา “เสนาบดีเหลียง ท่านทำงานหนักมากทีเดียว ข้าได้แต่ละอายใจ !”
“ท่านก็พูดเกินไปแล้ว…”
ในที่สุดอ๋องแห่งเฟิงตัดสินใจเรื่องตำแหน่งใหม่ของถังหยินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว !
หลังจากหมดวาระประชุม อู่หยูก็กลับมายังที่พักของตนเอง เพื่อระบายความโกรธในห้องของเขา การแพ้ครั้งนี้มันยับเยินเกินไป หากแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก
ชายชราได้แต่ส่งคนไปยังที่พักของถังหยิน และเชิญเขามาที่เรือนของตนเพื่อบอกเรื่องนี้
ชายหนุ่มที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร หากแต่เขาก็มาที่นี่ และทันทีที่ถังหยินเข้ามา เขาก็พบเข้ากับบรรยากาศที่หนักอึ้งในทันที
ในตอนนี้ ทั้งอู่หยู อู่อิง และอู่เหมยต่างก็อยู่ในห้องโถง ไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น พวกเขามีใบหน้าที่โศกเศร้า โดยเฉพาะอู่เหมยทที่ก้มหน้าก้มตาตลอดเวลา ช่างเป็นภาพที่หาได้ยากยิ่งนัก
“เสนาบดีอู่ ท่านแม่ทัพอู่!” ชายหนุ่มทักทายทุกคน
ชายแก่มองหน้าเขาด้วยความขุ่นเคือง ถ้าเขารู้แบบนี้ก็คงไม่ส่งถังหยินไปทำภารกิจคุ้มครององค์หญิงหรอก แต่ทว่าเรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้ว คงช่วยอะไรไม่ได้อีก “แม่ทัพถัง ฝ่าบาทมีคำสั่งให้แต่งตั้งเจ้าเป็นแม่ทัพเจิ้นเป่ย และส่งให้เจ้าไปประจำการเป็นผู้ว่าเขตปิงหยวน”
ผู้ว่าเขตปิงหยวน ? ถังหยินไม่สนใจตำแหน่งดังกล่าวเท่าไหร่นัก แต่เขาสงสัยในคำว่า ‘เขตปิงหยวน’ มากกว่า
เขาจำได้เมื่อตอนไปรับองค์หญิง ชิวเจิ้นเคยบอกว่ามีสองสถานที่ที่ขาดกำลังพลอยู่ ซึ่งไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่คิดอยากไปแทนที่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือปิงหยวนนั่นเอง !
ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว ทำไมเขาต้องไปที่นั่นอีกล่ะ ?
คิ้วของชายหนุ่มขมวดกันแน่น หากแต่ก็พูดอะไรไม่ออก
หลังพูดจบ อู่หยูก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปยังถังหยิน และเดินออกไปโดยไม่พูดจา
หลังจากออกไป อู่เหมยก็เงยหน้าขึ้นพูดกับเขา “ถังหยิน เจ้ายินยอมรับตำแหน่งนี้หรือไม่ ?”
จริง ๆ แล้วถังหยินทำอะไรเกี่ยวกับคำสั่งนี้ไม่ได้ เขามัวแต่ตกใจกับเรื่องนี้จนเกินไป เมื่อตั้งสติได้ ชายหนุ่มก็ถามกลับไปว่า “ในเมื่อเป็นคำสั่งจากราชสำนัก ข้าสามารถเลือกได้ด้วยหรือ ?”
อู่เหมยกำหมัด “ถ้าเจ้าคัดค้าน ข้าสามารถยื่นเรื่องให้กับฝ่าบาทเพื่อให้พระองค์เปลี่ยนใจได้”
ชายหนุ่มหัวเราะ เมื่อได้เห็นท่าทางพ่ายแพ้ของอู่หยูแบบนั้น เพราะถ้ามีทางละก็ งั้นคำสั่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่นี้มันก็คงไม่มีถึงหูเขาได้หรอก
ชายหนุ่มเข้าใจความต้องการของอู่เหมย แต่ก็ไม่อยากจะขัดคอนางสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงพูดติดตลกไป “ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นมีสงครามเกิดขึ้นอยู่ตลอด ฝ่าบาทคงเล็งเห็นถึงฝีมือของข้า ดังนั้นจึงได้ข้าไปที่แห่งนั้น”
เสียงของเขาผ่อนคลาย หากแต่ไม่ใช่กับอู่เหมย นางพูดอย่างจริงจัง “ไม่ใช่เวลามาเล่นตลกนะ ข้าถามเจ้าว่าต้องการตำแหน่งนี้จริง ๆ หรือไม่ ? ”
ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนที่จะส่ายหัว “ไม่คัดค้าน”
“เจ้าต้องการจะไปยังสถานที่แย่ ๆ อย่างปิงหยวนงั้นหรือ ?” อู่เหมยถาม
ถังหยินยักไหล่ “ในเมื่อยังไงข้าก็ต้องพาทหารเข้าร่วมสงครามอยู่แล้ว มันแตกต่างตรงไหนกันล่ะ ? ”
ปิงหยวนเปรียบเสมือนสุสานสำหรับเหล่าทหาร มันเป็นสถานที่ขนาดใหญ่และมีเพียงทหารน้อยนิด แถมความเป็นอยู่ก็ยากลำบากมาก เหตุก็เพราะมีพวกทหารม้าจากมอร์ฟีสเข้ามาระรานตลอดเวลา ยากที่จะป้องกัน ทำให้มีหลายต่อหลายคนต้องสังเวยชีวิตอยู่ในเขตแห่งนี้โดยที่ไม่ได้กลับออกมาอีกเป็นครั้งที่สอง
นางเชื่อมั่นในฝีมือของถังหยิน แต่นางไม่คิดว่าเขาจะเอาตัวรอดได้แน่
“การเป็นผู้ว่าเขตปิงหยวนไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่เจ้าคิด เจ้าต้องพิจารณาให้ดีก่อน” อู่เหมยพูดอย่างสิ้นหวัง
ยิ่งนางพูด ถังหยินก็ยิ่งปฏิเสธจะยอมแพ้ เขาเลิกคิ้วขึ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่คิดว่าจะมีอะไรยากไปกว่าการที่ข้าตัดสินใจยอมรับการเป็นตำแหน่งผู้ว่าเขตปิงหยวนแล้ว”
“เจ้า… บ้าไปแล้วหรือ ?” เมื่อได้ยินแบบนั้น นางก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป หญิงสาวยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดออกไปว่า “ข้าไม่อยากจะเห็นเจ้ากลับมาเป็นศพหรอกนะ!”
ชายหนุ่มหัวเราะ “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
ยิ่งเขาพูดก็ยิ่งดูจะมั่นใจในคำพูดดังกล่าวมาก ทำให้สุดท้ายแล้วนางไม่มีทางเลือกอื่น
“ถ้าเจ้าต้องการจะไป จะต้องทิ้งกองพันทหารราบที่ 2 เอาไว้”
ชายหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง “ถ้างั้นข้าขอเพียงเลือกหัวหน้ากองไม่กี่คนให้ติดตามข้าไปด้วย”
สำหรับอู่เหมย นี่ไม่นับเป็นข้อเรียกร้องด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นมันก็ไม่อยู่ในขอบเขตของนางด้วย
นางขบริมฝีปาก “เจ้าตัดสินใจแล้วสินะ?”
“ทำไมต้องเรื่องมากกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วยล่ะ?”
หัวใจของอู่เหมยแทบหยุดเต้น ใช่แล้ว นางคิดมากเรื่องเกินไป ใครจะไปเปลี่ยนความคิดของท่านอ๋องได้กัน ถ้าหากว่าพ่อของนางยังทำไม่ได้ แล้วใครจะทำได้อีก ?
มีเรื่องบางเรื่องที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิตมนุษย์ อู่เหมยได้แต่รู้สึกไร้เรี่ยวแรงและพลังอำนาจ นางได้แต่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่อาจขัดขืนได้เลย !
***************