บทที่ 73
มี 8 เมืองอยู่ในเขตปิงหยวน แต่ทว่ามีเมืองหลัก ๆ อยู่แค่ 3 เท่านั้น ได้แก่เมืองเฮิง เมืองชายแดน และเมืองหวาง
และที่เมืองเฮิงนี่เอง ที่เป็นเมืองหลักที่อยู่ของชายแดนแคว้นเฟิง สถานที่แห่งนี้นั้นเป็นจุดที่พวกมอร์ฟีสเข้าโจมตีมากที่สุด
คนที่อยู่ชายแดนจะมีกฎระเบียบที่ชัดเจนและรัดกุม หากใครฝ่าฝืนจะต้องโทษหนัก
ถ้าไม่มีกฎเหล่านี้ พวกชาวบ้านที่อยู่ชายแดนก็คงจะหนีลี้ภัยเข้าไปในแผ่นดินใหญ่กันหมดแล้ว
ถังหยินและทุกคนเดินทางไปยังเมืองเฮิง
เมืองแห่งนี้นั้นใกล้จากชุนโจวพอตัว ต่อให้ขี่ม้าก็กินเวลาตั้ง 2 วัน
หลังจากออกจากชุนโจว ยิ่งพวกเขาออกไปลึกมากเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมมันก็ยิ่งแห้งแล้งมากขึ้นเท่านั้น
บนท้องถนนหลักมีผู้คนน้อยมาก จะเห็นก็แต่ต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นสองข้างทาง ไม่มีไร่นาหรืออะไรทั้งสิ้น
ชิวเจิ้นเงยหน้าขึ้นมองฟ้าที่ดวงตะวันกำลังลับไปทางตะวันตก เขารีบวิ่งเข้าไปหาถังหยิน ก่อนจะพูดว่า “สหายถัง พื้นที่แถบนี้ไม่มีหมู่บ้านอยู่เลย”
ด้วยความที่คิดว่าจะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายแบบนี้ ถังหยินจึงพยักหน้ารับรู้เบา ๆ ก่อนจะหันมองไปรอบ ๆ
“เยี่ยมเลย เยี่ยมจริง ๆ นี่มันช่างยอดเยี่ยมเสียจริง !” ชิวเจิ้นบ่นไปตลอดทาง
ทันใดนั้นก็ได้มีทหารนายหนึ่งเดินเข้ามา คนผู้นั้นพูดพร้อมกับชี้ไปยังป่าที่ห่างไปไม่ไกลนัก เสียงลมพัดผ่าน พร้อมกับกิ่งไม้ที่พลิ้วไหวไปมา ก่อนจะเผยให้เห็นถึงผู้คนนับพันที่เต็มไปด้วยอาวุธครบมือ
ถังหยินกับทุกคนตะลึง พวกเขาคิดว่าคนกลุ่มตรงหน้านั้นเป็นพวกมอร์ฟีส แต่เมื่อพวกเขาดูใหม่อีกครั้งก็พบว่าคนเหล่านั้นคือคนที่ใส่ชุดเฟิงที่กำลังอยู่ในความสับสนวุ่นวาย
คนพวกนี้เป็นใครกัน ? พวกเขาคงไม่ใช่ทหารมอร์ฟีสที่ปลอมตัวมา หรือว่าจะเป็นพวกโจรแถวนี้กัน ?
โดยไม่รีรอ กู่เยว่ควบม้าไปข้างหน้า “พวกเจ้าเป็นใคร ? คิดจะทำอะไรแน่ ? ”
มี 2 คนเดินออกมา พวกเขามีรูปร่างที่เหมือนกัน ร่างกายกำยำ ทั้งยังมีใบหน้าที่คล้ายกัน และด้วยหนวดเคราที่ยาวกับหน้าตาที่ดุดัน เมื่อพวกเขายืนด้วยกันจึงดูน่ากลัวมากทีเดียว
เมื่อเข้ามาใกล้ ทั้งสองก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน “ข้าคือผู้ที่ปลูกต้นไม้เหล่านี้ ข้าคือคนที่ตัดผ่านถนนสายนี้ ถ้าพวกเจ้าคิดจะผ่านจะต้องจ่ายค่าผ่านทางมา !”
ที่แท้ก็พวกโจร ! ถังหยินคิดในใจ นี่พวกมันโง่หรือตาบอดกัน ถึงได้กล้าที่จะมาหยุดกองทัพของทางการเช่นนี้ นี่พวกมันอยากตายงั้นเหรอ ?
กู่เยว่พยายามตีหน้านิ่ง เขาเกือบจะหัวเราะออกมา หากแต่ก็ยังคงแสร้งทำสีหน้าขึงขัง และกล่าวออกไปว่า “พวกเจ้ากล้าดียังไงถึงได้มาปล้นกองทหารของทางการ !”
โดยไม่รอให้พูดจบ ชายร่างใหญ่ก็หัวเราะ “อย่าเล่นลิ้นกับข้าดีกว่า ข้าจะให้พวกเจ้าเก็บเงินเอาไว้ครึ่งหนึ่งถ้าหากจ่ายมา แต่ถ้าขัดขืนละก็ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน !” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ชี้หอกไปยังพวกถังหยิน
“ปากกล้าจังเลยนะเจ้านะ” กู่เยว่โกรธจัด เขาควบม้าวิ่งเข้าหาพวกมันในทันที
เมื่อชายใหญ่เห็นแบบนี้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด แถมเขายังเดินเข้าไปหาอีกด้วย
เมื่อกู่เยว่เข้ามาใกล้แบบนี้ ยังไงพวกเขาก็ได้เปรียบ
เมื่อวิ่งเข้าไปถึง กู่เยว่ก็เหวี่ยงดาบเล่มใหญ่อย่างไม่ลังเล
เขาไม่ได้ใส่ใจพวกโจรเหล่านี้และไม่ใช่ใช้อาวุธปราณ เพราะเพียงแค่แรงของเขาก็มากพอแล้วที่จะเหวี่ยงดาบให้เกิดเสียงดังแหวกอากาศ
ชายหนวดเฟิ้มไม่ได้หลบ เขาเอาแต่ยืนนิ่ง พร้อมกับตั้งท่าหอกไว้เตรียมรับการโจมตี
เคร้ง !
เมื่อเสียงเหล็กกระทบกัน กู่เยว่ก็แทบจะร้องออกมาด้วยความตะลึง เขารู้สึกว่าดาบของเขาไม่ได้ถูกปัดป้องออกไป แต่มันเหมือนกับกระแทกเข้ากับหินก้อนใหญ่ ทำให้ทั้งแขนของเขาชาไปหมด และก่อนที่จะได้ทันตั้งสติ ชายร่างใหญ่ก็กระโดดขึ้นสูงแล้วยกแขนพร้อมเหวี่ยงหอกฟาดลงมาใส่กู่เยว่อย่างแรง
ใบหอกตัดผ่านอากาศจนเกิดเสียงแสบแก้วหู
กู่เยว่ไม่กล้าปล่อยผ่านไปอีกครั้ง เขายกดาบแล้วปล่อยพลังปราณออกมาใส่อาวุธ เพื่อรับมือกับอีกฝ่าย
เคร้ง !
ชายร่างใหญ่ทุบเข้ามาเต็มแรง จนทำให้กู่เยว่รู้สึกราวกับถูกภูเขาขนาดใหญ่ทับเข้าให้ และถึงเขาจะยังต้านเอาไว้ได้ หากแต่ม้านั้นกลับทนไม่ไหว ขาของมันหักลง ก่อนจะมีโลหิตไหลกระอักออกมาจากปาก
“บ้าเอ๊ย !” กู่เยว่ตะลึง แต่ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้นจากซากม้า อีกฝ่ายก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
มันเร็วมากจนกู่เยว่ไม่สามารถหลบได้
ในตอนนี้ มันก็ได้มีบางอย่างพุ่งมาจากหลังกู่เยว่เข้าใส่ชายร่างใหญ่
อีกฝ่ายเหวี่ยงหอกเพื่อปัดลูกศรทิ้งไปอย่างง่ายดาย
นั่นคือลูกธนูของหลีเทียน
ถึงจะไม่สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ แต่มันก็สกัดการโจมตีของเขาเอาไว้ได้ กู่เยว่ใช้โอกาสนี้กระโดดออกมาจากม้าเพื่อถอยออกมา
เขาใช้อาวุธปราณ แต่อีกฝ่ายกลับใช้เพียงพลังกายล้วน ๆ นี่แสดงให้เห็นเลยว่าชายคนนี้แข็งแกร่งมาก
กู่เยว่ยังไม่ยอมแพ้และคิดจะเข้าปะทะต่อ ทว่าถังหยินกลับตะโกนออกมา “กู่เยว่ถอยกลับมา!” ก่อนที่เขาจะลงจากม้าแล้ววิ่งเข้ามา
ต่อให้กู่เยว่จะกล้าหาญมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจขัดคำสั่งของถังหยินได้ กู่เยว่หันมองชายหนุ่ม และถอยกลับเข้าไปในทันที
เขาพลาดท่าให้กับอีกฝ่ายภายใน 3 กระบวนท่า ทั้งยังไม่สามารถทำอันตรายต่ออีกฝ่ายได้เลย และไหนจะเรื่องที่ม้าตายนั่นอีก ! ดังนั้นหลังจากกลับมา กู่เยว่จึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ทางด้านถังหยินที่เดินออกไปข้างหน้า เขาหันมองชายคนนั้นแล้วถาม “พวกเจ้าเป็นแฝดกันหรือ ? ”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ถ้าอยากจะสู้ก็เข้ามา ! ” ชายกล้ามโตมีท่าทีเย่อหยิ่ง อาจเป็นเพราะเมื่อครู่พึ่งเอาชนะกู่เยว่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกมั่นใจ และมองว่าถังหยินนั้นอ่อนแอ
ชายหนุ่มหัวเราะให้กับสภาพของอีกฝ่าย ถึงทั้งสองฝ่ายจะมีนิสัยที่เหมือนกัน แต่ถังหยินนั้นบ้ากว่าพวกเขาเยอะ
“เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ? ” ถังหยินถาม
“แล้วเจ้าเป็นใครกันเล่า ? ”
“ข้าคือ ถังหยิน ! ”
“ถังหยิน ? โทษที ข้าไม่เห็นเคยได้ยินชื่อนี้เลย ! ” สีหน้าของชายกล้ามโตเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งผยอง
ถังหยินพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือแม่ทัพคนใหม่ที่จะมาประจำการที่ปิงหยวน”
ชายกล้ามตะลึงเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะออกมา “ข้าจำได้แล้ว ข้าได้ยินมาว่าที่นี่จะมีผู้ว่าคนใหม่เข้ามานี่นา ไม่คิดว่านั่นจะเป็นเจ้า…”
ระหว่างที่พูด ถังหยินก็เดินออกมา เขาเรียกดาบออกมาจากไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะแทงเข้าใส่ลำคอและท้องของอีกฝ่ายภายในชั่วพริบตา !
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรเลยและโจมตีไปทั้งแบบนั้น จึงทำให้ชายร่างใหญ่รีบยกมือขึ้นป้องกันด้วยความร้อนรน
โดยไม่ทันคาดคิด การโจมตีของถังหยินครั้งนี้กลับเป็นเพียงแค่การหลอกล่อ ระหว่างที่เขากำลังเหวี่ยงหอก ร่างของถังหยินก็เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เขาไปปรากฏตัวที่ด้านหลัง และเสือกแทงดาบเข้าใส่แผ่นหลังของอีกฝ่ายแทน !
ชายหนุ่มมีเทคนิคที่แปลกเกินไปจนทำให้ชายร่างใหญ่ต้องตะลึงจนไม่สามารถหลบได้พ้น และเมื่อเห็นแบบนี้ ถังหยินจึงได้เรียกใช้เกราะปราณร่วมกับอาวุธปราณเพื่อเร่งปิดงานโดยเร็ว
เคร้ง !
เสียงดาบปะทะกับเกราะจนดังก้องและเกิดประกายไฟไปทั่วทิศทาง
ดาบของถังหยินเร็วมาก หากแต่เกราะของอีกฝ่ายนั้นเร็วกว่า
เมื่อเห็นความเร็วในการขึ้นรูปเกราะปราณของอีกฝ่าย ถังหยินก็คาดเดาได้ในทันทีว่าชายร่างโตน่าจะอยู่ในระดับปราณบรรพกาล
มันยากมากที่จะมีโจรทั่วไปที่อยู่ในระดับพลังขนาดนี้
ทว่าถึงอีกฝ่ายอาจจะมีระดับปราณที่สูงกว่า หากแต่ถังหยินก็ไม่ได้กลัวอะไร เขาโจมตีเข้าไปอีก 2 ครั้ง ก่อนจะกระชับอาวุธปราณในมือไว้แน่น !
ชายหนุ่มทำการหลอมรวมดาบเข้าด้วยกันเป็นรูปเคียว
อีกฝ่ายมองถังหยินและพูดอย่างไม่พอใจ “เจ้ามีพลังที่เก่งกล้าดีนี่ แต่ทว่าการโจมตีแบบลอบกัดเมื่อครู่ มันก็ทำให้ข้ารู้ซึ้งได้ในทันทีว่าเจ้านั้นมันแย่ขนาดไหน”
“เป็นโจรแล้วยังจะมีหน้ามาพูดเรื่องแบบนี้อีกงั้นเหรอ ? เจ้าไม่เคยได้ยินคำว่าเล่ห์เหลี่ยมเลยหรือไงกัน ?” ถังหยินเยาะเย้ยและโบกเคียวใส่อีกฝ่าย
ครั้งนี้ทั้งสองปลดปล่อยพลังออกมาทั้งหมดเพื่อปะทะกันอย่างดุเดือด
ถังหยินเดาไม่ผิดเลย ชายร่างใหญ่มีพลังที่แกร่งกว่าเขา อย่างไรก็ตามถังหยินนั้นมีความรวดเร็วที่มากกว่า ทำให้การต่อสู้ดำเนินต่อไปอย่างไม่เสียเปรียบเท่าใดนัก
แต่แล้วในจังหวะนั้นเอง ชายร่างใหญ่อีกคนที่คาดว่าน่าจะเป็นแฝดกันก็ได้กระโจนเข้ามาร่วมวงต่อสู้ด้วย
เมื่อเห็นว่าพวก 2 พี่น้องกำลังต่อสู้กับถังหยิน ด้วยความเกรงกลัวว่าจะแพ้ พวกเขาจึงรีบกู่ร้องแล้วชูหอกวิ่งเข้ามา
การที่สู้กับคน 2 คนที่มีพลังเหนือกว่าเขา แถมฝีมือด้านหอกของอีกฝ่ายก็ชำนาญมากด้วย ดังนั้นถังหยินจึงเริ่มเสียเปรียบ ทว่ายังดีที่ชายหนุ่มไม่ได้เผยกระบวนท่าออกไปมากมายนัก ทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถจับทางเขาได้มากพอ
นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของเขาก็เร็วและแปลกเกินไป ต่อให้ไม่สามารถล้มคู่ต่อสู้ได้ ทว่าโจร 2 พี่น้องนี่ก็ไม่สามารถทำอันตรายชายหนุ่มได้เช่นกัน
สองพี่น้องมีโอกาสโจมตีเข้าจุดตายถังหยินอยู่หลายครั้ง ทว่าทุกครั้งชายหนุ่มก็สามารถหลบมันได้ราวกับภูตผี ทำให้พวกเขานั้นโกรธเสียจนเกือบจะร้องตะโกนออกมา !
เมื่อสู้กันไปมาจนหมดแรง เสียงตะโกนก็ดังขึ้นมาจากถนน ก่อนที่จะมีทหารเฟิงจากไหนก็ไม่รู้วิ่งเข้ามามากมาย
ทั้งหมดมีจำนวนประมาณ 1 พันนายได้ ทว่าด้วยตอนนี้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ดังนั้นจึงยากที่จะระบุตัวตนได้
2 พี่น้องเหมือนจะรู้ตัว พวกเขามองหน้ากันและรีบกระโดดออกจากการต่อสู้ ก่อนจะถอยหนีหายไปพร้อมตะโกนทิ้งท้ายเอาไว้ว่า “มีคนมาช่วยเจ้าไว้พอดี ถือว่าโชคดีไปนะ !”
เมื่อพูดจบ พวกเขาพร้อมด้วยกลุ่มโจรก็หายเข้าไปในป่าลึกในทันที