บทที่ 100
ยอมจำนน
“เจ้าสังหารพวกเราไม่ได้!” เมื่อเห็นหลินเว่ยและคนอื่น ๆ กำลังก้าวเข้ามา ไท่เซียนส่งเสียงกรีดร้องออกมาทันที ราวกับไก่ถูกตอน มันยากที่จะจินตนาการว่าชายร่างใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งสามคน จะมีท่าทีแบบนี้ได้
“มีอะไรหรือ……พี่หลิว ท่านจะคุกเข่าลงเพื่อพวกเขาได้อย่างไร ท่านเองก็เป็นผู้นำของตระกูลเช่นกัน ท่านจะไม่มีศักดิ์ศรีหน่อยหรือ ส่วนท่านไท่เซียนท่านจะยอมคุกเข่าให้เมืองเฮยสุ่ยหรือ? .”
ซุยชวนจุนแต่เดิมตั้งใจที่จะตำหนิไท่เซียน ดังนั้นเขาจึงเปรียบเทียบกับหลิวเหนิง อย่างไรก็ตามเขาพบว่า หลิวเหนิงนั้นทำแบบเดียวกับไท่เซียน เขานั่งคุกเข่าลง ซุยชวนจุนโกรธจนกระอักเลือด เขารู้สึกว่ามีเลือดติดอยู่ในลำคอ และไม่สามารถคายออกมาได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง
“ พรึ่บ!” เมื่อเห็นไท่เซียนที่คุกเข่าลงไปแล้ว หลิวเหนิงเองจึงคุกเข่าลง หลิวเหนิงต้องการเพียงเอาชีวิตรอด แล้วยังต้องมีศักดิ์ศรีอะไรอีก?
“พวกเจ้าสองคน … !” ซุยชวนจุนริมฝีปากของเขากระตุก และชี้มือไปที่ไท่เซียนและหลิวเหนิง และพูดว่า
“เอาล่ะ! อย่าแสร้งทำเป็นคุกเข่า! หลังจากต่อสู้มาหลายปี ไม่รู้หรือว่าการบาดเจ็บล้มตายเป็นเรื่องธรรมดา!” เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวเหนิงหันศีรษะและมองไปที่ซุยชวนจุน และพูดด้วยความรังเกียจ
“ใช่เราไม่มีศักดิ์ศรี ถ้าเจ้ามีก็เชิญต่อสู้ได้เลย”
“ฮึ่ม! ข้าบอกไปแล้วว่า ถ้าข้าคุกเข่าลงไป ข้าจะยังคงเป็นผู้นำตระกูลซุยต่อไปได้อย่างไร” ซุยชวนจุนแค่นเสียงอย่างเย็นชาและพูดด้วยคอแข็งเกร็ง
เป็นผลให้ก่อนที่หลิวเหนิงและไท่เซียนกำลังจะพูดต่อ พวกเขาเห็นซุยชวนจุนก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและ คุกเข่าลง แต่มันก็ยังไม่จบ หลังจากซุยชวนจุนคุกเข่าลงแล้ว เขาก็เผชิญหน้ากับหลินเว่ย ที่เดินมาหาเขาแล้วพูดว่า “นายท่าน! พวกเราเต็มใจที่จะยอมจำนนต่อท่าน และยินดีที่จะนำทั้งตระกูล มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่าน”
“หมายความว่าอย่างไร! เมื่อเห็นท่าทีของซุยชวนจุน หลิวเหนิง และไท่เซียน ทั้งสองคนสบสายตาและต่างรับรู้ถึงคำพูดของอีกฝ่ายว่า อะไรคือการยอมตายแต่ไม่ยอมจำนนของซุยชวนจุน? พวกเขาคุกเข่าที่นั่น แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงไปที่พื้น
“นายท่าน ข้ายินดีที่จะยอมจำนวน สิ่งของสะสมของตระกูลขอข้ามีมากมากกว่าหลายร้อยปี ตระกูลหลิวเองก็เต็มใจที่จะยอมจำนนต่อท่านเช่นกัน” หลิวเหนิงไม่เต็มใจที่ยอมเป็นเครื่องมือของซุยชวนจุน
และกล่าวว่าเงื่อนไขที่เขาจะมอบให้นั้นมีมากซุยชวนจุน
“แล้วเจ้าล่ะ?” หลินเว่ยไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของ หลิวเหนิง เขามองไปที่ไท่เซียนแทน
“ข้าอยากเป็นข้ารับใช้ของท่าน ข้าเป็นช่างฝีมือขั้นห้า ข้าสามารถหลอมอาวุธวิญญาณได้ นอกจากนี้ยังมีตระกูลชิวหลิงถัง จะเป็นของท่านในอนาคต ข้ามีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อย ที่สามารถปรับแต่งอาวุธพื้นฐานได้ บางคนเป็นช่างฝีมือระดับสี่แล้วและยังสามารถหลอมอาวุธวิญญาณได้อีกด้วย” ไท่เซียนดูลนลาน
“เมื่อได้ยินคำพูดของไท่เซียน ดวงตาของหลินเว่ยพลันก็สว่างขึ้น พร้อมกับร่องรอยการเคลื่อนไหวในหัวใจ และหันไปมองที่เถาจุน
“เขากำลังพูดความจริง มีช่างฝีมือสามคนในเมืองเฮยสุ่ย และไท่เซียนก็เป็นหนึ่งในนั้น อาวุธวิญญาณที่เขาหลอมออกมาจัดว่ามีคุณภาพสูง ต่างร่ำลือว่าเขาเป็นยอดฝีมือ – การหลอมอาวุธวิญญาณ ยิ่งไปกว่านั้นปรมาจารย์ทั้งสอง
ยังไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีใครสามารถหลอมอาวุธวิญญาณระดับสูงได้ ” เมื่อเห็นดวงตาของหลินเว่ย เถาจุนก็รู้ว่าหลินเว่ยต้องการจะถามอะไร เขาจึงรีบพูด
“อืม! อย่างนี้ก็ได้ ข้าขอประกาศว่าชิวหลิงถังเป็นของข้า ตระกูลหลิว ตระกูลซุย ข้าต้องการแก่นคริสตัลขั้นสูง หินหยวน เหรียญทองม่วง เหรียญทอง แน่นอนสิ่งเหล่านี้เป็นของข้า ข้าต้องการศิลปะการต่อสู้และวัสดุยาจำนวนครึ่งหนึ่ง
อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือเป็นของตระกูลเย่สองส่วนและตระกูลไป๋ และหอการค้าหรูหยุนทั้งหมดสามส่วน ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเถาจุน หลินเว่ยก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของไท่เซียน จากนั้นก็เริ่มแบ่งสมบัติของอีกสองตระกูล
“คุณชายหลิน เจ้าโลภเกินไปหรือไม่? เจ้าได้ชิวหลิงถังไปแล้วและยังมาแบ่งสันปันส่วนกับเราอีก มีแต่เจ้าที่ได้ผลประโยชน์ก้อนโต แต่ส่วนสุดท้ายเจ้าก็ยังคงมาแบ่งเอากับเราอีก อย่างไรข้าก็ต้องได้ไม่น้อยไปกว่าเจ้า” เมื่อได้ยินแผนการแจกจ่ายของ หลินเว่ย
เย่ชิงเฟิงและไป๋หลงก็ขมวดคิ้ว แต่แล้วพวกเขาก็โล่งใจ มีแต่ซูเหมยพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจเท่านั้น
“หากไม่ได้ข้า ป่านนี้ท่านถูกฉุดคร่าไปแล้ว ถ้าไม่ขอบคุณข้าก็ไม่เป็นไร ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของท่านหายไปไหนหมด? “เมื่อได้ยินคำพูดของซูเหมย หลินเว่ยก็แสดงสีหน้าไร้เดียงสา แบมือออกและพูดอย่างรู้สึกเศร้าใจ
“เจ้า…!” ซูเหมยกัดฟันแน่น หันไปมองเย่ชิงเฟิงและพูดกับไป๋หลง“ พวกท่านไม่มีความคิดเห็นหรือ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเหมย เย่ชิงเฟิงและไป๋หลงมองหน้ากัน จากนั้นก็ส่ายหัวโดยปริยาย และพูดเป็นเสียงเดียวว่า “เราคิดว่ามันสมเหตุสมผลมาก เราไม่มีความคิดเห็นใด ๆ ”
“พวกท่าน…!” หลังจากฟังจบซูเหมยก็เอื้อมมือชี้ไปที่พวกเขา นางพูดอะไรไม่ออก
“เอาล่ะ ข้าไม่สนใจพวกเขา แต่ส่วนแบ่งของข้าต้องไม่น้อยกว่าของเจ้า ถ้าเจ้าไม่เห็นด้วย อย่าหาว่าข้าหยาบคาย!” เมื่อรู้ว่าเย่ชิงเฟิงและไป๋หลงช่วยอะไรไม่ได้ ซูเหมยก็ขู่หลินเว่ย
ท่านลองดูสิ “เมื่อได้ยินคำพูดของซูเหมย หลินเว่ยก็เผยอปากขึ้นพร้อมกับดูหมิ่น เสี่ยวหลงและเสี่ยวไป๋ก็ร่วมมือกันอย่างมาก ในการจ้องมองด้วยสายตาที่มุ่งร้าย
“ข้า…!” เมื่อถูกเฝ้ามองโดยสัตว์อสูรทั้งสองตน ที่สามารถสังหารราชาแห่งการต่อสู้ได้ ทันใดนั้นซูเหมยก็รู้สึกใจสั่น และการแสดงออกบนใบหน้าของนาง ก็กลายเป็นน้ำแข็งในทันที
“ฮิฮิ! ข้าล้อเล่น….น้องชายอย่าไปจริงจังนักเลย จู่ ๆ ท่าทางของซูเหมยก็พลันอ่อนต่อหลินเว่ย
“ งั้นพวกเรากลับไปดื่มชากันเถอะ” สำหรับการเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่าย หลินเว่ยไม่ได้พูดอะไร
“เจ้า…”! เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ใบหน้าของซูเหมยก็ปกคลุมด้วยความอึมครึม นางหันศีรษะและไม่สนใจหลินเว่ย นางอดกลั้น
เสี่ยวไป๋รู้สึกสะเทือนใจกับเรื่องนี้ และมองไปที่ซูเหมยด้วยความสงสาร เป็นเรื่องยากมาก ที่จะหากำไรจากหลินเว่ย
“เนื่องจากทุกคนไม่มีความเห็น งั้นก็ตกลงตามนี้!” หลินเว่ยพยักหน้าและพูดกับตัวเอง
“ฮึ!” ใบหน้าของซูเหมยไม่สบายใจ และแค่นเสียงออกมา แต่กลับไม่ยอมพูดอะไร
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งสามคนรวมทั้งซุยชวนจุน ไม่ได้ ปริปากพูดอะไร ราวกับว่าพวกเขายอมรับโดยสิ้นเชิงกับหลินเว่ย และคนอื่น ๆ ในการแบ่งทรัพยากรต่อหน้าพวกเขา