บทที่ 115
เดินทาง
หลังจากที่หลินเว่ยเดินทางออกจากโรงเตี๊ยม หลินเว่ยก็ตรงไปเพื่อตามหารถลากเพื่อไปที่เมืองหลวง ตามที่ชายสองคนได้อธิบายไว้ตามแผนที่ และหลินเว่ยพบกับสิ่งที่เรียกว่าสัตว์อสูรบิน
ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งรวบรวมการขนส่งสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงโดยสารรถลากสัตว์มากมาย
ส่วนใหญ่เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ และสัตว์อสูรขั้นหนึ่ง เพื่อใช้แรงงานในการลากคน หรือลากสิ่งของไปส่ง
ตามสถานที่ต่าง ๆ ที่มีราคาก็ไม่แพง จากที่นี่ไปยังเมืองหลวง มีราคาตั้งแต่ 10 ถึง 20
เหรียญทอง อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายสามารถร่วมกันออกได้มากกว่าหนึ่งคน รถลากมีขนาดใหญ่มาก และสามารถบรรทุกคนได้มากกว่าสิบคนอย่างสบาย ๆ
สำหรับการเดินทางทางอากาศ จำเป็นที่จะต้องใช้สัตว์อสูรบิน ซึ่งราคานั้นจะสูงกว่ามาก และส่วนใหญ่เป็น สัตว์อสูรขั้นต่ำ ตามธรรมชาติแล้ว หากต้องการเดินทางโดยเน้นความรวดเร็ว จะต้องใช้รถสัตว์อสูรบรรทุกเพื่อเดินทางไป และเป็นไปตามที่ชายทั้งสองคนพูด
ต้องใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนจึงจะเดินทางไปถึงเมืองหลวง นอกจากจะใช้เวลาเกือบเดือนและแออัดคับแคบ รถสัตว์อสูรบรรทุกก็ไม่สะดวกสบายเหมือนสัตว์อสูรบิน
สัตว์อสูรบินสามารถเดินทางร่วมกันได้คราวละหลาย ๆ คน แน่นอนว่าตราบใดที่มีเงิน ก็สามารถว่าจ้างเพื่อเดินทางไปด้วยตัวคนเดียวได้ อย่างไรก็ตามราคานั้นสูงกว่ารถสัตว์อสูรบรรทุก 10 เท่า แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรบินขั้นต่ำก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างจะต้องใช้หลายร้อยเหรียญทอง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดา ๆ จะสามารถจ่ายได้
สถานที่ว่าจ้างรถลากนั้นอยู่ในดินแดนเฟิ่งหยู และเป็นของหอการค้าแห่งแรกที่เรียกว่า หอการค้าทะเลสี่ทิศ ซึ่งเป็นหอการค้าที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากเท่าไร ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีผู้ใดต้องการที่จะทำลายเกียรติของหอการค้า เพียงแค่เงินไม่กี่ร้อยเหรียญทอง
หลังจากรู้เรื่องนี้ หลินเว่ยก็หยิบเหรียญทองออกมาทันที และจับจองว่าจ้างแบบร่วมเดินทางกับผู้อื่น
ไม่ใช่ว่า…เขาไม่เต็มใจที่จะจ่ายเงินเพื่อโดยสารเพียงคนเดียว แต่เขาไม่ต้องการดึงดูดความสนใจมากนัก
สิ่งที่หลินเว่ยต้องการคือ สัตว์อสูรขั้นหนึ่ง นกพิราบชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์อสูรที่มนุษย์เลี้ยงเอาไว้ ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ได้จับมันเพื่อใช้โดยสารระหว่างเมือง แม้ว่ามันจะบินไปมาระหว่างเมืองเท่านั้น แต่ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดอันตราย
ขนาดของสัตว์อสูรนกพิราบไม่ใหญ่โตมากนัก สามารถโดยสารคนได้จำนวนทั้งหมดหกคน และหลินเว่ยเป็นคนที่สุดท้าย
เมื่อเห็นการมาถึงของหลินเว่ย นักรบขั้นสามจึงนำใบรับรองของหลินเว่ยไปตรวจสอบอย่างละเอียด และพยักหน้าและปล่อยให้หลินเว่ยนั่งลงไป และผูกเชือกให้เขาเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
ตอนนี้หลินเว่ยควบคุมลมปราณของตนเอง ให้อยู่ระดับนักรบขั้นสองธรรมดาๆเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาสนุกสนานกับการรับใช้ของนักรบขั้นสามเบื้องหน้า
ทั้งสี่คนที่นั่งอยู่กับหลินเว่ยเป็นชายสามคนและหญิงหนึ่งคนระดับสูงสุดของการฝึกฝนคือ ชายวัยกลางคนอยู่ในนักรบขั้นสี่ ส่วนที่เหลืออีกสามคนยังคงเป็นเด็กที่มีอายุไล่เลี่ยกับหลินเว่ย และความแข็งแกร่งของพวกเขาอยู่ในระดับนักรบขั้นสองทั่วไป
เสื้อผ้าของสี่คนนี้คล้ายคลึงกันมาก หลินเว่ยคิดว่าพวกเขามาจากตระกูลเดียวกัน โดยปกติแล้วจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขา คือการไปยังเมืองหลวงเช่นเดียวกับหลินเว่ย
เมื่อพวกเขาเห็นการมาถึงของหลินเว่ย พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร อย่างไรก็ตามนักรบขั้นสี่มองไปที่หลินเว่ย และพบว่าไม่มีอะไรน่าประหลาดใจกับระดับการฝึกฝนของเขา ดังนั้นพวกเขาจึงหมดความสนใจในตัวของหลินเว่ย
“นั่งให้ดี… ทุกคน เรากำลังจะเริ่มออกเดินทางในไม่ช้า” หลังจากนักรบขั้นสามตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว เขาก็เตือนทุกคนให้ระมัดระวัง จากนั้นบังคับสัตว์อสูรนกพิราบลอยขึ้นไปในอากาศ หลังจากการสั่นสะเทือนชั่วครู่ สัตว์อสูรนกพิราบได้บินขึ้นไปในอากาศ และบินไปยังทิศทางของเมืองหลวงอย่างรวดเร็วบินและราบรื่น
ในสองสามวันต่อมา นักรบขั้นสามและชายวัยกลางคนนั้นใจเย็นมาก ไม่พูดคุย แต่เด็กทั้งสี่คนนั้น ทนความเบื่อหน่ายไม่ไหว และเริ่มสนทนากัน
“เฉินปิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทดสอบในปีนี้เข้มงวดหรือไม่?” เด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“มันไม่น่าจะยากเย็นเท่าใดนัก! ข้ากำลังจะไปสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง ซึ่งมีการทดสอบที่ไม่เข้มงวดเท่าใด เป็นสถานศึกษาที่มีเกณฑ์การทดสอบที่ไม่ยากเย็นเท่าใด ด้วยกำลังของข้า…..คิดว่าไม่น่าเกินกำลัง” ชายหนุ่มชื่อเฉินปินกล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“ถ้าเพียงแค่ข้าสามารถเข้าศึกษาที่สถานศึกษาราชวงศ์เฟิ่งหยููได้ ข้าได้ยินมาว่าตราบใดที่ข้าสามารถเรียนจบจากที่นั่นได้ อนาคตย่อมสดใส” เด็กชายอีกคนกล่าวขึ้นมา
“อันที่จริงสถานศึกษาเทียนหยูก็ดีเหมือนกัน! ว่ากันว่าคนที่จบการศึกษาจากที่นั่นเป็นที่ขึ้นชื่อมาก กองกำลังสำคัญทั้งหมด… ต้องการแย่งชิงตัวพวกเขา!” เด็กสาวที่ดูเหมือนจะอายุน้อยที่สุดกล่าวขึ้น
“ใช่! อย่างไรก็ตาม การทดสอบของสถานศึกษาเทียนหยูก็เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ในสามสถานศึกษาเช่นกัน ศิษย์ที่สามารถจบการศึกษาจากที่นี่ได้ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความสามารถโดดเด่น ” เฉินปินกล่าวพร้อมกับถอนหายใจ .
“อย่าคิดมากไปเลย สถานศึกษาตระกูลขุนนาง หลานหลิงก็ดีต่างก็มีผู้ที่จบการศึกษาเป็นอันดับสองรองจากสถานศึกษาเทียนหยู อย่างไรก็ตามก็เพียงแค่สามารถผ่านการทดสอบได้ก็เพียงพอแล้ว” ชายวัยกลางคนกล่าวสรุปขึ้น
“อืม! ตามที่ท่านลุงรองพูด สถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิงก็เป็นสถานศึกษาระดับสูงเช่นกัน ดังนั้นก็ไม่ได้ถือว่าแย่ไปกว่าสถานศึกษาอีกสองแห่ง” เฉินปินพยักหน้าและกล่าวเสริม
“อืม! เจ้าคิดถูกแล้ว” ชายวัยกลางคนพยักหน้า และมองไปที่ดวงตาของเฉินปิน เขาพึงพอใจมากและกล่าวด้วยความยินดี
“พี่ชายคนนั้น…..ข้ามีชื่อว่า เฉินม่อ ท่านจะเข้าร่วมการคัดเลือกของสถานศึกษาด้วยหรือไม่?” ชายหนุ่มคนแรกเอ่ยเรียกหลินเว่ย
บทสนทนาของคนเหล่านี้ เปิดเผย ไร้ซึ่งความลับใด ๆ ทำให้หลินเว่ยได้ยินเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเห็นว่าเด็กชายคนหนึ่งเอ่ยถามเขา หลินเว่ยแม้ไม่อยากจะสนใจ แต่ด้วยความสุภาพเขาจึงลืมตาและพยักหน้า
“ข้าคิดว่า ท่านอายุไล่เลี่ยกับพวกเรา และกำลังไปที่เมืองหลวงเพื่อลงรายชื่อสอบเข้าสถานศึกษา ไม่ทราบว่า ท่านจะเข้าทดสอบในสถานศึกษาแห่งใด? เป็นสถานศึกษาตระกูลขุนนางหลานหลิง หรือสถานศึกษาเทียนหยู? ” เฉินม่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สถานศึกษาเทียนหยู! ข้าไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูง มีเพียงสถานศึกษาเทียนหยูเท่านั้นที่สามารถพอจะเข้าไปได้” หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น
“นั่นเป็นเรื่องน่าเสียดาย แม้ว่าสถานศึกษาเทียนหยูจะไม่สนใจเกี่ยวกับชาติกำเนิด แต่ตราบใดที่มีคุณสมบัติ และมีตระกูลที่ขาวสะอาด ก็สามารถเข้ารับการทดสอบ แต่การคัดเลือกศิษย์นั้นเข้มงวดเป็นที่สุด และเปิดรับศิษย์ในทุก ๆ ห้าปี มีผู้ที่สอบผ่านจริง ๆ เพียงหนึ่งในพัน มันไม่ยากเกินตัวไปหน่อยหรือ?” เฉินม่อกล่าวด้วยใบหน้าที่เสียความรู้สึก เขาคิดว่าหลินเว่ยน่าจะเป็นตระกูลชนชั้นสูง ท้ายที่สุดกลับไม่ใช่ ทำให้เขาไม่ค่อยถูกชะตากับหลินเว่ย
“เฉินม่อ เจ้าพูดอะไร? ถ้าไม่ได้ลอง จะรู้ได้อย่างไรว่าจะผ่านการทดสอบหรือไม่? ! เอาล่ะ ท่านอย่าไปสนใจเฉินม่อ เขาพูดอะไรไม่รู้ความ ได้โปรดอย่าถือสา ท่านควรไปเยี่ยมชมในเมืองหลวง มันถูกเรียกว่าเมืองที่ไม่เคยหลับใหลมีสถานที่น่าสนใจมากมายที่นั่น ถ้าท่านไปถึงที่นั่นในครั้งนี้ ท่านลองหาเวลาเพื่อเที่ยวชมเป็นการฆ่าเวลา แต่อย่าลืมสำรองค่าเดินทางเผื่อเอาไว้ด้วยจะดีมาก” เฉินปินตำหนิเฉินม่อ ก่อนที่จะปลอบใจหลินเว่ย
“ ……”
หลินเว่ยพูดไม่ออกในเวลานี้ ปากของเขากระตุก และพูดในใจว่า “ข้าคิดว่า…เจ้านั่นแหละที่ไว้ใจไม่ได้! บอกให้ข้าเที่ยวเล่นให้สนุก แต่เหน็บแนมว่า ให้เผื่อค่าเดินทางกลับเอาไว้ด้วย หึ ๆ