บทที่ 60 ผู้คุมวิญญาณ
“อา…!”
แขนถูกตัดออกมา หน้าอกถูกฟัน แม้ว่าจะไม่มีเลือดไหลออกมา แต่ความรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่น้อยไปกว่ารอยแผลที่ถูกฟันเลย
ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลชั้นนำในเมืองเฮยสุ่ย เขาคุ้นเคยกับการได้รับความเคารพและปฏิบัติต่อตนเองเป็นอย่างดี เขาเจ็บปวดจึงเวียนหัวตาลายแทบจะสลบ วินาทีต่อมาเขาถูกปลุกด้วยความเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาเดินเซไปมาหลายสิบครั้ง จนในที่สุดเขาก็หมดสติไป
“ท่านซุยฝู…” ชายทั้งสองคนที่มากับซุยฝูต่างก็หวาดผวากับโศกนาฏกรรมของซุยฝู พวกเขาสั่นและขาของพวกเขาอ่อนแรง พวกเขาอยากจะคุกเข่าลงไปอ้อนวอนเถาจุน เพราะซุยฝูได้รับบาดเจ็บอย่างอนาถ ไม่ต้องเอ่ยถึงผู้คุ้มกัน
“ออกไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” หลังจากซุยฝูหมดสติ เถาจุนก็ไม่ได้สนใจผู้คุ้มกันของเขา ผู้ร้ายถูกจัดการ ไม่จำเป็นต้องทำร้ายผู้คุมเพื่อระบายความโกรธ
“ พลั่ก!”
ทั้งสองผู้คุ้มกันตัวแข็งทื่อ ค่อย ๆ ก้าวเท้าไปเบื้องหน้า เพื่อพยุงซุยฝูที่ราวกับตายไปแล้วครึ่งหนึ่งขึ้นมา และไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากพยุงซุยฝูได้ ทั้งสองคนและอีกหนึ่งร่างก็รีบวิ่งออกจากประตูค่ายไปทันที
เมื่อเห็นทั้งสามคนจากไป รอยยิ้มบนใบหน้าของเถาจุนก็ค่อย ๆ หายไป และเกิดความเศร้าโศกจาง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสุข แต่เขาก็ต้องเผชิญกับการแก้แค้นที่บ้าคลั่งของตระกูลซุยอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เขารู้เรื่องนี้มานานแล้ว เพราะจุดประสงค์ของตระกูลซุยคือการผนวกคนของเขาควบรวมกับตระกูลซุย ถ้าเขายอมทำตามตระกูลซุยจะต้องจะกำจัดเขาอย่างแน่นอน เพื่อที่จะสามารถควบคุมกองทัพได้ดีขึ้นในภายหลัง
และหลังจากที่หลินเว่ยกลับมา และรู้ว่าเขาทำอะไรลงไป เขาก็คงจะไม่รอด
เพราะสัญญาข้ารับใช้ การทรยศคือความตาย แต่ท้ายที่สุดเมืองเฮยสุ่ยไม่ได้เป็นเพียงเมืองเดียวที่ตระกูลซุยมีอิทธิพล ดังนั้นเขาอาจอยากจะพิสูจน์ว่าความคิดของเขานั้นถูกต้อง
“ไปกันเถอะ! พวกเรามีอะไรต้องทำ” เถาจุนส่ายหัว พลางพูดกับเหล่าทหาร
ไม่นานนักมีทหารหลายคนก็เข้ามาในกระโจมของเถาจุน จากนั้นก็ออกไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เดินทางออกมาจากค่ายและหายตัวไป เถาจุนส่งคนเหล่านี้ออกไปตรวจตราตระกูลซุยทุกหลัง เนื่องจากในตอนนี้ถือว่าเป็นศัตรูกัน ดังนั้นจึงต้องรู้ข้อมูลของศัตรูให้ถี่ถ้วน
…………
“ผู้คุมวิญญาณอยู่ที่ใด เหตุใดข้าถึงมองไม่เห็น” ในหุบเขาที่ไม่มีใครรู้จัก หลินเว่ยยืนอยู่บนหน้าผาและมองออกไปรอบ ๆ
“มันยังอยู่ข้างในอีกไม่กี่กิโลเมตรข้างหน้า ท่านจะเข้าสู่ขอบเขตดินแดนของมัน รอบ ๆ หลายสิบกิโลเมตรนี้ เต็มไปด้วยหมอกพิษ แม้แต่สัตว์อสูรขั้นหกบางตัว ก็ไม่สามารถทนได้” เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย เสี่ยวไป๋ ก็เอาหัวออกจากอ้อมแขนของเขา
และมองไปรอบ ๆ และพูด
“ดี!” หลินเว่ยพยักหน้าและขยับตัว เขาวิ่งบนหน้าผาอย่างรวดเร็ว และเคลื่อนตัวไปยังหุบเขาทันที
ไม่นานนักหลินเว่ยก็หยุดชะงัก เพราะเขาพบเป้าหมายในครั้งนี้แล้ว กลางหุบเขานั้นเป็นแอ่งราบ ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกบางเบา หมอกเหนือพื้นดินนั้นเป็นสีชมพูอ่อน ๆ มันทำให้ผู้คนรู้สึกแปลก ๆ ดูลึกลับน่าค้นหา
ท่ามกลางสายหมอกจะเห็นว่ามีต้นไม้ที่สวยงาม ซึ่งมีดอกไม้ห้าดอกบานสะพรั่งอยู่ ภายในดอกไม้เหล่านั้นมีบางดอกที่ยังไม่เบ่งบาน มีดอกตูมที่ยังไม่บานสะพรั่งอยู่หนึ่งดอก
ผู้คนนั้นรู้จักเพียงชื่อของผู้คุมวิญญาณ แต่พวกเขาไม่รู้จักรูปร่างหน้าตาของมัน ข่าวลือเกี่ยวกับพวกมันนั้น หาได้ยาก เนื่องจากไม่ค่อยมีผู้ใดได้ค้นพบมัน เนื่องจากความลึกลับของถิ่นที่อยู่ของมัน หรือคนที่เคยพบเจอ นั้นไม่เคยรอดชีวิตกลับมาเล่าให้ผู้อื่นฟัง
“บอกข้าเกี่ยวกับดอกไม้พวกนี้!” สำหรับหลินเว่ยเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เนื่องจากเขาไม่รู้จักดอกไม้ชนิดนี้ เขาจึงเอื้อมมือไปจับเสี่ยวไป๋ เพื่อหวังว่ามันจะสามารถให้ข้อมูลที่เขานั้นต้องการ
“หมายถึงเรื่องใด?” เสี่ยวไป๋พยายามอย่างหนักที่จะดิ้นรนออกจากมือของหลินเว่ย แต่มือของหลินเว่ยนั้นจับเสี่ยวไป๋แน่นราวกับคีมเหล็ก ดังนั้นเสี่ยวไป๋จึงแกล้งโง่และพูดด้วยความไร้เดียงสา
เมื่อหลินเว่ยเห็นเช่นนั้น เขาจึงพูดขึ้นว่า
“เชื่อหรือไม่ว่า ข้าสามารถโยนเจ้าทิ้งไปที่หมอกพิษนั่น” เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสร้งโง่ หลินเว่ยก็แสยะยิ้ม และกล่าวอย่างดุเดือด
“ฮึ่ม! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะทำแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถหาผู้คุมวิญญาณและเอาของเหลวรวมวิญญาณมาจากที่ใด?” สำหรับคำขู่ของหลินเว่ย เสี่ยวไป๋นั้นไม่เกรงกลัว แต่คำพูดของเสี่ยวไป๋นั้นกลับทำให้หลินเว่ยกลายเป็นใบ้ทันที
“เจ้า…!” หลินเว่ยพูดไม่ออก จริงอยู่ที่ตอนนี้เขานั้นไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้คุมวิญญาณเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งของเหลวรวมวิญญาณซ่อนอยู่ใดก็ไม่อาจรู้ได้ เนื่องจากไม่เคยพบแล้วจะสามารถหาได้อย่างไร.
“บอกเงื่อนไขของเจ้ามา” หลินเว่ยหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างหมดหนทาง
เสี่ยวไป๋มองหลินเว่ยหน้าเหี่ยวใจ มันจึงรู้สึกสบายใจ จากนั้นพูดด้วยความไร้ยางอายว่า : “ข้าต้องการส่วนแบ่ง เก้าในสิบ!”
“ข้าไม่เคยพบ…..ใบหน้าของเจ้านั้นไร้ยางอายเหลือเกิน สำหรับความพยายามของข้า แต่เจ้ากลับได้ผลประโยชน์ ราวกับว่าข้าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย!” หลินเว่ยตะคอกอย่างเย็นชาและมองไปที่เสี่ยวไป๋ด้วยความรังเกียจ
“ฮึ่ม! ของเหลวรวมวิญญาณนี้ เดิมทีข้าเป็นผู้ค้นพบ แค่แบ่งให้เจ้าหนึ่งส่วนยังถือว่ามากเกินไปเสียด้วยซ้ำ เสี่ยวไป๋เบะปาพลางพูดจ้อไม่หยุด
“นี่คือสิ่งของชดใช้แทนชีวิตของเจ้า”
“ข้อตกลง ถูกทำลายลงไปแล้ว ด้วยการสังเวยวิญญาณ!”
เสี่ยวไป๋โกรธมากจนปากเบี้ยว จิตใจของชายคนนี้ดำมืด พอที่จะทำให้หนูขนลุกชัน
“เจ้ายังบังคับให้ข้าเป็นทาสของเจ้า และข้ายังต้องจ่ายสิ่งของเพื่อซื้อชีวิตของตนเองอีกหรือ นานมาแล้วที่ข้าไม่เคยพบมนุษย์ไร้อายยางเทียบเจ้าได้เลย
“เช่นกัน ข้าเองก็ไม่เคยพบหนูที่ไร้ยางอายเช่นเดียวกัน”
“สามส่วน เจ็ดส่วน เจ้าสามส่วน ข้าเจ็ดส่วน!” เสี่ยวไป๋ยื่นอุ้งเท้าและพูดกับหลินเว่ย
“เจ้ามีเพียงกรงเล็บเดียว ข้าเก้าเจ้าหนึ่งส่วน!” หลินเว่ยมองหน้าเสี่ยวไป๋ด้วยความรังเกียจ
“เพ่ย ! เจ้าไม่เห็นกรงเล็บห้านิ้วของข้างั้นหรือ ช่างตาถั่วโดยแท้” ราชาหนูศิลาตัวเล็ก ๆ สีขาว มองไปที่หลินเว่ย พลางประท้วงด้วยความโกรธ
“แปดส่วน สองส่วน! ไม่มีอีกแล้ว” หลินเว่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น
“ฮึ! เจ้ามนุษย์ตัวน้อย เหตุใดจึงโลภเช่นนี้ ให้ข้าเพียงสองส่วน เสี่ยวไป๋พูดอย่างไม่พอใจ
“ข้าเป็นเจ้านายและข้าให้เจ้าได้เต็มที่เพียงเท่านี้” หลินเว่ยยื่นนิ้วออกมาถูที่ปลายจมูกของเขา จากนั้นเขาก็ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงต้องการของเหลวรวมวิญญาณมากนัก พลังการต่อสู้ของเจ้ามันน้อยนิด ได้มาก็ไม่เกิดประโยชน์? ไม่กลัวว่าจะทำให้มันเสียของอย่างนั้นหรือ? ”
“ฮึ่ม! ข้ามีแผนของตัวเอง ไม่ต้องกังวล ถ้าฉันทำมันเสียของ ก็เป็นสิ่งที่ข้าพอใจ!”
เสี่ยวไป๋ยืนขึ้นและมองไปที่หลินเว่ยด้วยความภาคภูมิใจและกล่าวว่า “เจ้าปีศาจน้อยทำไมเจ้าถึงต้องการของเหลวรวมวิญญาณมาก! ถ้าเจ้ากินมากเกินไปเจ้าจะตายเอาได้”
“ฮ่าฮ่า….ข้าพอใจ!” หลินเว่ยแสยะยิ้มและใช้คำพูดของอีกฝ่ายต่อสู้กลับ
“เจ้า…!”
“ตอนนี้ ข้าโมโหมาก!” เสี่ยวไป๋ไม่มีอะไรจะพูด เขากัดฟันพูดขึ้นว่าอย่างแน่วแน่ว่า: “สามส่วน เจ็ดส่วน เอาก็เอา ไม่เอา….ก็ไม่ต้องมีใครได้”
“สามส่วนก็ได้” ในที่สุดหลินเว่ยก็ยอมแพ้และวางแผนที่จะหาโอกาสที่จะเอาคืน ในครั้งหน้า
“ตอนนี้ถึงเวลาบอกมาแล้ว” หลินเว่ยกล่าวด้วยสีหน้าอดทนอดกลั้น