บทที่ 1 ขอทานน้อย
ณ ดินแดนแห่งกังหลันอันกว้างใหญ่ไพศาล ช่วงเวลาอันยาวนานกำลังผันผ่านไป เหล่าวีรบุรุษที่แข็งแกร่งและเชื่อมั่นในฝีมือของตนเองต่างแก่งแย่งช่วงชิงความเป็นหนึ่ง เพื่อให้ใต้หล้าต้องประจักษ์ต่อความแข็งแกร่งและศิโรราบให้กับตน
ในปีศักราช: 309.แห่งความยากจนข้นแค้น เมืองหมั่นฉีที่ตั้งอยู่บนพรมแดนรอยต่อของอาณาจักรจีนโบราณ
ภายในเมืองนี้มีขนาดไม่เล็กหรือใหญ่มากเกินไปนัก แต่กลับมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เนื่องด้วยในเมืองนี้มีอาณาเขตของเมืองนี้ตั้งอยู่บนหุบเขาหงเย่ ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกับหุบเขาเวเนเชี่ยน สาเหตุที่ทำให้แถบนี้มีการค้าขายที่เจริญรุ่งเรือง อันเนื่องมาจากการดำรงอยู่ของหุบเขาเวเนเชี่ยน ที่ส่งเสริมการพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆทั้งหมดของเมืองหมั่นฉี
หุบเขาหงเย่ที่ใหญ่โตนั้นตั้งตระหง่านอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนกังหลันที่สูงชันและกว้างใหญ่ เป็นแหล่งซ่องสุมชั้นดีของกองกำลังไม่ทราบฝ่ายจำนวนมาก มารวมตัวกัน และขยายดินแดนของตนแผ่กระจายไปทั่วทั้งตอนเหนือ
อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาศัยของเผ่าพันธุ์สัตว์อสูร เช่นเดียวกับเทือกเขาเวนิสซึ่งเป็นสวรรค์ของคนธรรมดาทั่วไป ที่ต้องการจ้างทหารรับจ้าง ให้ทำตามความประสงค์ด้วยราคาที่ไม่สูงมาก รวมถึงหลาย ๆ คนที่ต้องการกองกำลังส่วนตัว
จึงชื่นชอบที่นี่เป็นพิเศษเนื่องจาก สามารถเลือกเฟ้นหาบุคคลที่มีความแข็งแกร่งตามที่ต้องการ และสามารถตกลงราคาเพื่อจ้างวานได้อย่างเหมาะสม
ในยามเช้าตรู่ ท้องฟ้าเริ่มเปล่งแสงสีทองจางๆ เปิดเผยความเจริญรุ่งเรืองภายในเมืองอย่างช้า ๆ ผู้คนสองข้างทางขวักไขว่ทั้งค้าขาย ติดต่อสื่อสาร รวมถึงซื้อข่าวสารตามที่ต้องการ ส่วนใหญ่บุคคลที่ปรากฏตัวนั้นเป็นทหารรับจ้างพร้อมอาวุธครบมือเดินมาพร้อมกับชายหนุ่มและคนติดตามสี่ถึงห้าคน
พวกเขากำลังเดินออกมา เพื่อกินอาหารเช้าตามปกติ พวกเขาเดินเรียงหน้ากระดาน และเอ่ยปากด่าทอผู้คนที่ขวักไขว่ให้ออกห่างจากเจ้านายของตน หลังจากเดินมาได้สักพักได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวาย ปรากฏเป็นทหารรับจ้างชั้นต่ำคนหนึ่งเอ่ยปากขับไล่ผู้คนให้ออกไปจากที่นี่
“ไสหัวไปซะ” ทหารรับจ้างผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงกระโชกขู่คำราม ทำให้จิตใจของชาวบ้านขวัญหนีดีฝ่อรีบลุกหนีกันอย่างรวดเร็ว บางคนโชคร้ายหนีไม่ทันก็จะถูกผลักออกไปอย่างโหดร้าย
“อ้ากก
“พลั่ก!” ทันใดนั้น หลังจากการขู่คำราม บรรยากาศ ณ สถานที่แห่งนี้ก็ระเบิดอื้ออึง เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลังจากสิ้นเสียงของทหารรับจ้างชั้นต่ำ เกิดเป็นเสียงหนัก ๆ ที่ตกลงมาอย่างหนัก
สิ่งเหล่านี้ดูไม่ค่อยเข้ากันกับบรรยากาศความเจริญรุ่งเรืองภายในเมือง ในไม่ช้าเหตุการณ์เบื้องหน้าก็ปรากฏสู่สายตา
ด้านหน้าประตูโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดแห่งเดียวภายในเมือง ที่ถนนทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยพื้นดินขรุขระ มีขอทานสวมเสื้อผ้าคล้ายผ้าขี้ริ้วที่ขาดวิ่นสกปรกขมุกขมัว พยายามนอนขดตัวให้ลีบเล็กที่สุด ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เมื่อมองไปทางใดก็ไม่มีใครต้องการที่จะเข้าใกล้ ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถปกปิดร่องรอยความเจ็บปวดบนใบหน้าของเขาได้ ดูจากท่าทางและร่างกายที่ซูบผอมราวกับตะเกียบ จะเห็นได้ชัดว่านี่คือเด็กน้อยคนหนึ่งในชุดสกปรกมอมแมม เขาบาดเจ็บนอนขดตัวสั่นเทาอยู่ข้างประตูของโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมือง
ภายในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองย่อมคู่กับคนที่ยากจนข้นแค้น แม้แต่บ้านก็ไม่มีให้กลับไป ใคร ๆ ต่างก็ทราบดีว่า ที่เมืองนี้ มีขอทานอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ขอทานเด็กน้อยคนนี้คือคนที่มีอายุน้อยที่สุด
หลินเว่ยเป็นขอทานตัวน้อยเขาไม่ใช่คนของเมืองนี้ หลายปีก่อนบิดามารดาของเขาออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอน เพื่อมาแสวงหาโอกาสในการเป็นทหารรับจ้าง เพื่อความสุขสบายและสร้างครอบครัว หลังจากที่พวกเขามาที่เมืองนี้ก็ปักหลักทำมาหากินอยู่ในเมือง หนึ่งปีต่อมาหลินเว่ยก็เกิดมา ทั้งคู่ทั้งยินดีมีความสุขและจัดตั้งกลุ่มทหารรับจ้างเล็ก ๆ เพื่อทำงานต่าง ๆ ทั้งสามคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาเป็นเวลาหลายปี
ในวันหนึ่งเมื่อห้าปีที่แล้ว ตอนที่หลินเว่ยอายุได้เจ็ดขวบ บิดามารดาของพวกเขาได้รับการจ้างวาน
เพื่อให้เข้าไปยังหุบเขา จากนั้นบิดามารดาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
ทุกคน ๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านต่างก็บอกหลินเว่ยว่าบิดามารดาของเขานั้นกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ปกติแล้วบิดามารดาไม่ได้รับงานนี้เป็นครั้งแรก พวกเขารับงานในลักษณะนี้มาหลายปี แต่คราวนี้ไม่ได้มีโอกาสกลับมาหาหลินเว่ย
ทหารรับจ้างนั้นเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงสุดมาโดยตลอด แต่ก็เป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าไปในแหล่งกบดานของพวกกองกำลังทหารซึ่งมีอันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าโชคดีก็ได้ลาภลอย แต่ถ้าโชคร้ายก็ต้องเอาชีวิตตัวเองไปทิ้งไว้ และไม่สามารถต่อรองหรือเจรจาใด ๆ ได้เลย เนื่องจากทหารรับจ้างนั้นจะออกตามล่าสัตว์อสูรเพื่อช่วงชิงแก่นคริสตัล และในสายตาของสัตว์อสูรเองมนุษย์ก็ถือว่าเป็นแหล่งพลังงานที่สดใหม่และอร่อยเป็นพิเศษ
เหตุการณ์ที่สูญเสียบิดามารดาอย่างกะทันหันนั้นก็มีเรื่องที่น่ายินดีสำหรับหลินเว่ยเช่นกัน เนื่องจากบิดามารดาของหลินเว่ยมักจะออกเดินทางไปทำภารกิจต่าง ๆ ตั้งแต่เขาอายุสามขวบ หลินเว่ยนั้นสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ
เมื่อครั้งที่บิดามารดาออกไปครั้งล่าสุดแล้วไม่ได้กลับมา หลินเว่ยจึงอยู่เฝ้าบ้านและพร้อมกับเงินทองที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ให้ เพียงพอเพื่อให้เขาเติบโตและไม่ต้องลำบากเหมือนในปัจจุบัน
สำหรับข่าวคราวเรื่องนี้ ผู้คนหลายๆ คนก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้เช่นกัน ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าทหารรับจ้างภายในเมืองเล็ก ๆ นั้นเป็นคนที่มีฐานะดี หลังจากช่วงเวลาหนึ่งผ่านไปไม่นาน เมื่อพวกเขาเห็นว่าบิดามารดาของหลินเว่ยตายลงไปและก็ไม่มีญาติมิตรที่ไหน
และบ้านหลังนั้นก็มีเพียงแค่เด็กน้อยอายุเพียงเจ็ดขวบที่อาศัยอยู่ที่นั่น ในคืนเดือนมืดกลุ่มคนหลายกลุ่ม ได้เข้าปล้นชิงสิ่งของมีค่าทั้งหมดภายในบ้านของหลินเว่ยไปจนหมดสิ้น
หลินเว่ยที่อายุเพียงเจ็ดขวบไร้ความสามารถที่จะปกป้องทรัพย์สินมีค่าที่บิดามารดาทิ้งเอาไว้ให้ได้และอีกทั้งเขายังเด็ก จึงไม่รู้พิษภัยของจิตใจคน แม้ว่าเขาจะมีความคิดที่เกินกว่าเด็กอายุเจ็ดขวบทั่ว ๆ ไป แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่า ในยามที่ตนเองขาดที่พึ่งพิงก็ไร้ซึ่งคนที่คอยเห็นใจและสงสารในชะตากรรมของเขา
ในคืนหนึ่งกลุ่มชายหลายคนสวมหน้ากากมาพบกันที่สวนหลังบ้านของหลินเว่ย ราวกับพวกเขาได้นัดหมายกันล่วงหน้า ต่างทยอยปีนข้ามกำแพงเข้ามาในบ้านและไม่สนใจหลินเว่ยที่สะดุ้งตื่นตกใจ เนื่องจากเสียงรื้อค้นที่ดังสนั่นไปทั่วบริเวณบ้านอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนต่างรื้อค้นทุกซอกทุกมุม หลินเว่ยนั้นไม่สามารถขัดขืนได้เลย ด้วยร่างกายของเขาที่เป็นเด็กอายุเจ็ดขวบ และความแข็งแกร่งของหลินเว่ยนั้นเป็นเพียงนักสู้ขั้นหนึ่งระดับสี่ ดังนั้นเมื่อคนเหล่านั้นจากไป หลินเว่ยก็ได้รับบาดเจ็บและหมดสติลงไป เขาถูกส่งตัวไปที่โรงหมอในวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเขาถูกไล่ออกมาเพราะไม่มีเงินที่จะจ่ายค่ารักษา โชคดีที่พวกขโมยเหล่านั้นไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขา ดังนั้นอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของเขาคือ ผิวหนังถลอก เขาจึงรอดชีวิตมาได้
แม้ว่าหลินเว่ยจะรอดชีวิตมาได้ แต่เขาก็ต้องกลายเป็นคนที่สิ้นเนื้อประดาตัว ลมปราณของเขาแตกซ่าน ในคืนที่โจรบุกปล้นบ้านของเขา ทำให้การฝึกฝนก่อนหน้านี้ของเขานั้นสูญเปล่าไม่ว่าเขาจะฝึกฝนอย่างไร พลังงานที่สะสมเก็บเอาไว้จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย เนื่องจากเขาอายุแค่เจ็ดขวบ จึงไม่มีใครมาจ้างวานให้เขาทำงานให้ เขาจึงดำรงอาชีพเป็นขอทานอยู่ในเมืองได้เพียงเท่านั้น แม้ว่าเขาจะยังเด็กเกินไปกว่าจะเป็นขอทาน บางครั้งเขาสามารถหาของกินได้หรือได้รับเหรียญทองแดงจากผู้ใจบุญ เขาก็จะถูกขอทานคนอื่น ๆ แย่งชิงเอาไปจนหมด
ดังนั้นแม้ว่าในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ประสบการณ์ของเขานั้นเติบโตขึ้นมาก ส่วนร่างกายนั้นกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย รูปร่างของเขา ซูบผอมกะหร่อง เนื่องจากความหิวโหยมาเป็นระยะเวลานาน เขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทนหิวอยู่เงียบ ๆ
หลังจากที่หลินเว่ยถูกรังแก ทุกคนต่างก็มองไปที่ร่างที่อยู่ไม่ไกลจากหลินเว่ย หลังจากเห็นท่าทางของอีกฝ่าย พวกเขาก็ขมวดคิ้วและใบหน้าของพวกเขาก็แสดงท่าทีรังเกียจ
ฝ่ายที่รังแกหลินเว่ยมีทั้งหมดห้าคน คนแรกเป็นชายหนุ่มตัวอ้วนเตี้ย ผมสั้นสีน้ำตาล ดวงตาเล็กเย็นชาคู่หนึ่ง กวาดมองฝูงชนเป็นระยะ ๆ เขาลูบจมูกและปากที่เผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมา เผยให้เห็นฟันหน้าใหญ่สีทองสองซี่ กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข
“ฮึ!คนพวกนี้เป็นใครกัน! ช่างอวดดีเสียจริง? ” ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา รู้สึกสงสัยในท่าทีโอหังของชายคนนั้นอย่างเปิดเผย
“จุ๊ ๆ !” เมื่อได้ยินคำพูดของสหาย ใบหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบเอามืออุดปากอีกฝ่ายแล้วพูดด้วยเสียงต่ำว่า “อย่าปากพล่อย ถ้าไม่อยากตาย”
“อะไรนะ ไอ้คนนั้นมันมีภูมิหลังที่ใหญ่โตคับฟ้าอย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าความแข็งแกร่งของมันก็แค่นักสู้ขั้นหนึ่ง ระดับหกเท่านั้น ในบรรดาผู้คุ้มกันที่อยู่รอบตัวเขา คนที่มีระดับความแข็งแกร่งมากที่สุดอยู่ที่ระดับเก้า
ข้าเดาว่าน่าจะเป็นนายน้อยของตระกูลเล็ก ๆ ข้านั้นเป็นนักรบขั้นสองระดับสาม และอังเค่อเจ้านั้นคือนักรบขั้นสองระดับห้า! ” เมื่อเห็นว่าสหายของตนนั้นดูหวาดกลัวคนพวกนั้น เขาจึงเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ด้วยเสียงราวกับแมลงบินผ่าน
“หืม! นักรบขั้นสองระดับห้า? ในสายตาของผู้อื่น ต่างอะไรกับการผายลม เจ้าไม่เห็นผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างของชายคนนั้นหรอกหรือ! เสี่ยวหวัง เป็นเพราะเจ้ามาอยู่ที่นี่ไม่นานและยังไม่รู้จักอะไรดีนักในหลาย ๆ เรื่อง
เจ้าจะไม่รู้เรื่องอื่นย่อมได้แต่จะไม่รู้จักชื่อของคนคนหนึ่ง…ไม่ได้เด็ดขาด?” อังเค่อกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันกับตัวเอง
“ผู้ใดกัน?” เสี่ยวหวังถามอย่างรีบร้อน
อังเค่อกระซิบไปที่ข้างใบหูของเสี่ยวหวัง: “หม่านสง!”