บทที่ 34
กองทัพสัตว์อสูร
ในการจัดการกับสัตว์อสูรขั้นศูนย์และขั้นแรก นักสู้ขั้นหนึ่งทั้งหมดมีความเข้มแข็งในระดับมนุษย์ธรรมดา หากคันธนูและลูกศรเหล่านี้ต้องการสังหารสัตว์อสูร พวกเขาจะต้องมีความแข็งแกร่งเพียงพอ มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรได้
ยิงธนู!” หัวหน้านายทหารแต่ละกองสั่งโจมตีสัตว์อสูรที่อยู่ตรงหน้า
เมื่อเห็นว่ากองทัพสัตว์อสูร อยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ถึง 100 เมตร เถาจุนจึงยกดาบชี้ไปที่กองทัพสัตว์อสูรที่อยู่นอกเมืองและออกคำสั่งให้โจมตีทันที
“หวา! หวีดหวิว! ……….. !”
ทันทีที่ได้รับคำสั่งของเถาจุน นักสู้ขั้นหนึ่งที่พร้อมแล้วก็ปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูทันที หลินเว่ยได้ยินเสียงเสียดสีในอากาศนับไม่ถ้วน เมื่อมองออกไปนอกเมืองเขาพบว่าลูกศรตกลงไปในทะเลของสัตว์ร้ายราวกับห่าฝน
ทำให้เกิดระลอกคลื่น
“หน่วยที่สอง เตรียมตัวยิง!” เถาจุนไม่ได้สนใจกับฝนธนูระลอกแรกและความคืบหน้า เขายังคงสั่งการโจมตีเรื่อย ๆ
“หน่วยที่สาม เตรียมตัวยิง!”
“หน่วยที่หนึ่ง เตรียมตัวยิง!”
หลังจากยิงธนูติดต่อกันหลายสิบครั้ง มันกลายเป็นลูกศรเต็ม 100,000 ลูกธนูพุ่งจมไปในคลื่นอสูรยักษ์ อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้ตั้งใจเล็งแต่ลูกธนูนั้นก็ตรงเข้าปักตามร่างกายของสัตว์อสูร
อย่างไรก็ตามจำนวนสัตว์อสูรนั้นมีมากเกินไป ดูเหมือนว่าจำนวนการล้มหายตายจากจะไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย สัตว์อสูรยิ่งเร่งการหลั่งไหลเข้ามา เถาจุนนั้นไม่เสียเวลาออกคำสั่งอีกต่อไป แต่สั่งให้ทุกคนโจมตีอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้กองทัพสัตว์อสูรต่างถอยร่นลงไป 50 เมตรและไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่แผนระยะยาว สิ่งแรกที่ควรคำนึงคือลูกศรที่ถูกปล่อยออกไป ตระกูลหนานหม่านนั้นยิงธนูออกไปหมดแล้ว นอกเหนือจากกองกำลังอื่น ๆ แล้ว พวกเขาได้รวบรวมได้ไม่พอเพียงต่อจำนวนของสัตว์อสูร
ประการที่สองคือ กำลังคน นักรบทั้งหมดในเมืองหมั่นฉีรวมกันได้ไม่เกิน 40,000 หรือน้อยกว่า 50,000 เท่านั้น พวกเขาแบ่งออกไปอารักขาประตูทั้งสี่ทิศ และแต่ละประตูมีมากกว่า 10,000 คนในการช่วยกันรักษาประตูเมือง
ส่วนใหญ่เป็นนักสู้ขั้นหนึ่ง แต่ละคนสามารถยิงได้ 50 ครั้งติดต่อกัน แม้ว่าพวกเขาจะยังสามารถยิงได้ต่อเนื่อง แต่ก็เป็นเพียงแค่ลูกศรที่ยิงแบบสิ้นเปลือง ไม่ได้หวังจุดตาย
แม้ว่าจะมีนักรบขั้นสองอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำผลงานได้ดี เนื่องจากพบกับสัตว์อสูรขั้นสองและขั้นสาม
สำหรับนักรบขั้นสามมีจำนวนไม่มากนัก ทั้งเมืองหมั่นฉีมีไม่ถึงหนึ่งร้อยคน สามารถใช้เพื่อซุ่มยิงสัตว์อสูรที่ดุร้ายเพียงเท่านั้น
นักรบขั้นสี่เป็นผู้ที่มีพลังต่อสู้สูงสุดของเมืองหมั่นฉี เว้นแต่จะมีความจำเป็นหรือมีสัตว์อสูรปรากฏจึงจะสามารถออกไปต่อสู้ได้แต่ก็ไม่ง่ายที่จะเอาชนะ
หลายชั่วโมงผ่านไปโดยไม่รู้ตัวท้องฟ้าก็เริ่มส่องแสง นักรบบนกำแพงได้ผลัดกันพักผ่อนหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงนักสู้ขั้นหนึ่ง แม้แต่นักรบขั้นสองก็หมดกำลัง และแม้ว่าพวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรขั้นศูนย์และสัตว์อสูรขั้นหนึ่งไปอย่างนับไม่ถ้วน แต่สถานการณ์ก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก สัตว์อสูรเดิมได้เลื่อนขั้นเป็นขั้นสองแล้ว
“สัตว์อสูรบิน ให้ตายเถอะ!” ในฝูงชนนักรบที่มีสีหน้าตื่นตระหนก ตะโกนบอกทุกคนที่อยู่แห่งนี้
“สารเลว! ไปบอกทุกคน! นักสู้ขั้นหนึ่งโจมตีสัตว์อสูรบกต่อไป และนักรบขั้นสองรอให้สัตว์อสูรเหล่านั้นบินเข้ามาใกล้และจัดการมันด้วยกำลังทั้งหมด “เมื่อเขาได้ยินเสียงร้องของชายคนนั้น
เถาจุนเงยหน้าขึ้นและพบว่าท้องฟ้าในระยะไกล ๆ มีก้อนเมฆสีดำ พุ่งมาหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่งมองสุดลูกหูลูกตา แม้แต่ดวงอาทิตย์ก็ถูกปิดกั้นจากแสงทิ้งเงาของสัตว์อสูรที่บินอยู่ลงมายังพื้นโลก
หลังจากได้ยินคำสั่งของเถาจุน ฝูงชนก็รีบเปลี่ยนเป้าหมายของพวกเขา หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็จัดระเบียบได้เรียบร้อย
การต่อสู้บนพื้นดินยังคงดำเนินต่อไป และกองทัพของสัตว์อสูรบนท้องฟ้าก็ค่อย ๆ เข้าใกล้ผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อสัตว์อสูรเหล่านั้นบินผ่านประตูตะวันตก พวกมันก็มาพบกันกับอีกสามกองทัพสัตว์อสูรที่บินได้ และครอบคลุมเมืองหมั่นฉีไว้ทั้งหมด
“โฮก … !”
เสียงร้องอันยาวนานของสัตว์อสูรดังขึ้น ทันใดนั้นบนท้องฟ้าก็กระหึ่มไปด้วยเสียงของกองทัพของสัตว์อสูร ราวกับเสียงสัญญาณแห่งการโจมตี สัตว์อสูรที่บินได้พุ่งตัวลงมาราวกับลูกศร
เมื่อเห็นสัตว์อสูรเหล่านี้บินโฉบลงมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่ถึง 50 เมตร ลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วน ใบมีดลม พลังน้ำ และทักษะอื่น ๆ ก็ตกลงมาจากอากาศ โดยไม่ระบุเป้าหมายแต่ครอบคลุมทั่วทั้งเมืองหมั่นฉี
เมื่อเห็นฉากนี้นักรบส่วนใหญ่ในเมืองหมั่นฉีหวาดกลัวจนแทบหยุดหายใจ แขนขาของพวกเขาก็อ่อนแรง ราวกับเต้าหู้นิ่ม ๆ เมื่อพวกเขาสิ้นหวัง พวกเขามองเห็นการโจมตีทั่วท้องฟ้าซึ่งบดบังแสงอาทิตย์และเงยหน้าขึ้นมองพบโล่แสงเหนือศีรษะของตนด้วยความงุนงง
“โอกาสดี! โจมตีเร็วเข้า ๆ อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป” หลังจากที่สัตว์อสูรบินเปิดใช้ทักษะของพวกมัน และปะทะกับเกราะที่อยู่เหนือศีรษะของเหล่ากองทัพ ทันใดนั้นดวงตาของ เถาจุนก็สว่างขึ้น
เขาก็อ้าปากและตะโกนอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นแต่ยังรวมถึงนักรบจากอีกสามทิศทางที่ก้องออกมา และเริ่มต่อสู้กลับ
สัตว์อสูรที่บินได้เหล่านี้แม้จะว่องไวมาก แต่เมื่อพุ่งโจมตีโล่แสงเหนือเมืองหมั่นฉีต่างก็ถูกพลังสะท้อนกลับจนได้รับบาดเจ็บ
แต่สัตว์อสูรที่บินได้เหล่านี้มันกลับไร้ซึ่งความรู้สึก พวกมันเริ่มเข้าโจมตีทีละตัวทีละตัว แม้จะล้มเหลวแต่ก็ยังคงโจมตีต่อไป
ในแง่ของขั้นพลังของสัตว์อสูรบินนั้นทรงพลังกว่าสัตว์อสูรที่อยู่บนบกมาก แต่การป้องกันตัวเองนั้นแย่มาก เนื่องจากโดนการป้องกันของโล่แสง ผู้คนจึงใช้โอกาสนี้จัดการพวกมันลงไป ถึงแม้ว่าจำนวนยังคงหนาแน่น แต่สามารถมองได้ชัดถนัดตาขึ้นว่าเบาบางลงไป
กองทัพสัตว์อสูรบินได้ถูกสกัดโดยโล่แสง ทั้งยังโจมตีไม่ได้และถูกสะท้อนกลับ ในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
กองทัพของสัตว์อสูรมีการจำนวนบาดเจ็บล้มตายมากยิ่งขึ้น โชคร้ายที่จำนวนของพวกมันมีมากเกินไป จนถึงขณะนี้ ยังมองไม่เห็นว่าจำนวนสัตว์อสูรที่ถูกสังหารเพิ่มมากขึ้นเพียงใด
“โฮก … !”
เมื่อเห็นว่าพวกมันไม่สามารถเข้าไปในเมืองหมั่นฉีได้ จ้าวแห่งสัตว์อสูรผู้ลึกลับก็ส่งเสียงคำรามอีกครั้ง แต่คำรามนี้เป็นคำสั่งให้กองทัพสัตว์อสูรนั้นล่าถอย
เมื่อได้ยินเสียงนี้สัตว์อสูรทั้งบนบกและบนท้องฟ้า ต่างก็หันหลังกลับโดยไร้ความลังเล และถอยกลับไปเหมือนกระแสน้ำ แต่พวกมันไม่ได้ถอยห่างออกไปไกล แต่กลับไปยังสถานที่ที่พวกมันรวมตัวกันในตอนแรก
เมื่อเห็นว่ากองทัพสัตว์อสูรถอยกลับไปชั่วคราว กองหลังของเมืองยกเว้นทหารที่ระดับพลังต่ำกว่าขั้นสองก็ต่างพากันหมดเรี่ยวแรง ในขณะนี้พวกเขาหมดกำลังที่จะต่อสู้แล้ว
“ผู้บัญชาการเถา! โปรดมาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้กันหน่อยเถอะ! เถาจุนที่กำลังจะนั่งลงพักผ่อน
แต่มีผู้นำในการเข้าร่วมการต่อสู้เดินก็เข้ามา กล่าวเชิญด้วยความเคารพ