บทที่ 38
สัตว์อสูรยักษ์ภูเขา
ในฝ่ายมนุษย์ เมื่อเทียบกับความลังเลก่อนหน้านี้ หลังจากที่รู้ว่าโครงกระดูกเหล่านี้ คือ สัตว์อัญเชิญของหลินเว่ยทั้งหมด พวกเขาก็แสดงท่าทางที่ไม่ไว้วางใจ ราวกับว่าพวกเขากำลังขบคิดว่า หลินเว่ยนั้นเป็นใครมาจากที่ใดกันแน่
ความถี่ในการโจมตีของกองทัพสัตว์อสูรลดลงอย่างมาก เนื่องจากสัตว์ร้ายโครงกระดูกกิ้งก่าเพลิง ส่งผลให้ฝ่ายมนุษย์ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เกิดเป็นเหตุการณ์ประหลาด ในขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้กับสัตว์อสูร แต่สายตากลับจ้องมองไปที่หลินเว่ยและสัตว์อัญเชิญทั้งแปดของเขา
สำหรับสายตาของคนเหล่านี้ หลินเว่ยนั้นไม่ใส่ใจใด ๆ เขาควบคุมสัตว์อสูรวานรเพื่อเรียกใช้ทักษะของมัน
แสงสีทองแดงปรากฏขึ้นที่ร่างของสัตว์ร้ายโครงกระดูกอสูรวานรซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งร่างได้ในพริบตา หลังจากนั้นครู่หนึ่งเมื่อแสงสีทองแดงสลายไป กระดูกของอสูรวานรกลับกลายเป็นสีเทาอมทองแดงอย่างสมบูรณ์ พร้อมกับมีความมันวาว ให้ความรู้สึกว่าไม่สามารถทำลายลงไปได้
หลังจากเปิดใช้งานทักษะการป้องกันของสัตว์ร้ายโครงกระดูก สัตว์อสูรวานรสามารถต้านทานสัตว์อสูรขั้น 4 ได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากทักษะนี้ใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเองเท่านั้น จึงใช้พลังงานน้อยลงและคงอยู่ได้นาน
จากนั้นหลินเว่ยเริ่มควบคุมสัตว์อสูรตนที่เหลือ ให้เป็นไปตามแบบแผนที่วางเอาไว้
มีโครงกระดูกสัตว์อสูรวานรเป็นเกราะป้องกัน หลินเว่ยสั่งให้โครงกระดูกที่เหลืออีกสี่ตน คือโครงของหมาป่าลมกรดเปิดทักษะการโจมตีใบมีดลมและร่วมมือกันเพื่อฆ่าสัตว์อสูร เนื่องจากพวกมันนั้นเป็นโครงกระดูกชนิดเดียวกัน
การสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่าย จึงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แม้ว่าพวกมันจะเป็นโครงกระดูกขั้นสาม แต่ทักษะของพวกมันนั้นถูกใช้ เป็นจำนวนหลายครั้ง แต่ละครั้งเน้นการโจมตีไปที่สัตว์อสูรขั้นหนึ่ง
ดังนั้นทุกการโจมตีของสัตว์อสูรโครงกระดูก จึงเป็นการโจมตีเต็มรูปแบบ แม้ว่าการโจมตีจะทรงพลังแต่ก็สิ้นเปลืองพลังมาก ทำให้หลินเว่ยสูญเสียพลัง และเขานั้นเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หลายต่อครั้ง
และเกรงว่าหากไม่หาวิธีการแก้ไข ในครั้งหน้าเขาอาจได้ไปสนทนากับพญายม
โชคดีที่เมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูระดับเดียวกัน ใช้โครงกระดูกเพียงแค่สองตนก็เพียงพอ จัดการง่ายและไม่ใช้พลังมากเกินไป แต่ในตอนนี้มีโครงกระดูกของหมาป่าลมกรดทั้ง 4 และใบมีดลมที่แสนสิ้นเปลืองพลัง ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้ เว้นแต่หลินเว่ยจะปกป้องพวกมัน
โครงกระดูกสัตว์อสูรวานรเคลื่อนตัวมาด้านหน้าโครงกระดูกของหมาป่าลมกรดและสัตว์อสูรแมวเงาดำ สองตัวที่มีทักษะเสริม คือการเร่งความเร็ว
ดังนั้นวิธีการโจมตีของพวกมันนั้นไม่ซับซ้อน แค่เลือกโจมตีตำแหน่งที่หมายเอาชีวิตเพียงแค่นั้น
ส่วนกิ้งก่าเพลิงนั้น ยืนอยู่ข้าง ๆ หลินเว่ยเพื่อปกป้องเขา ในสนามรบไม่มีชีวิตที่สองให้ทดลอง เพราะฉะนั้นอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ซึ่งตัวของหลินเว่ยนั้น เขาเป็นเพียงนักรบขั้นสามธรรมดา ๆ และมีสัตว์อสูรเบื้องหน้าของเขามากมาย
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง หลินเว่ยยืนอยู่ตรงกลางของสัตว์อสูร โดยทิ้งสัตว์โครงกระดูกกิ้งก่าเพลิงที่ทรงพลังที่สุดไว้เบื้องหลัง สำหรับและปล่อยให้สัตว์อสูรของเขานั้นต่อสู้กัน ภายในใจของหลินเว่ยมีเพียงสี่คำเท่านั้น นั้นคือ บ้าตกนรกแตก! ประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่เล็กจนโตของหลินเว่ยทำให้เขามักจะคิดถึงตนเองก่อน ถึงแม้ว่าคนอื่น ๆ นั้นจะบอกว่าเขาเห็นแก่ตัว แต่มันก็ไม่สำคัญ
เมื่อโครงกระดูกของหลินเว่ยเป็นผู้นำในการต่อสู้ วิกฤตในฝ่ายของมนุษย์จึงถูกระงับไว้ชั่วคราว จากการป้องกันก่อนหน้าจนถึงสมดุลของการโจมตีและการป้องกันในปัจจุบัน จำนวนของกองทัพสัตว์อสูรก็ได้ลดลงเรื่อย ๆ
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ของหลินเว่ยแล้ว หยางอี้นั้นเข้าสู่การต่อสู้ที่ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากการต่อสู้ครั้งที่สอง ในตอนเริ่มต้นหยางอี้นั้นสามารถสังหารสัตว์อสูรได้ เมื่อผนึกกำลังกับเซียวเย่วและหลี่ซู ก็สามารถเอาชนะสัตว์อสูรลงได้ จากนั้นพวกเขาต่างรีบเข้าไปช่วยจงชาน
หยางอี้และพรรคพวกของเขาอีกสองคนร่วมกันสังหารสัตว์อสูรลงไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สัตว์อสูรขั้นสี่ไม่สามารถทำให้จงชานได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเพียงร่องรอยบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ เนื่องจากสัตว์อสูรยักษ์นั้น ค่อนข้างเงอะงะ ในด้านความเร็วและปฏิกิริยาการตอบโต้ของร่างกาย นอกจากนี้จงชานนั้นยังมีขนาดเล็กกว่าอีกฝ่ายมาก จึงได้เปรียบเรื่องความคล่องตัว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม ในใจของจงชานมั่นใจว่า เขานั้นสามารถถ่วงเวลาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะตัวเขา ทำได้แค่ทิ้งร่องรอยสีขาว ขีดข่วนไว้ตามลำตัวเท่านั้น ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงอะไรต่อสัตว์อสูร
“จงชาน! พวกเรามาช่วยแล้ว” เมื่อเห็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนของจงชาน หยางอี้ก็รีบเร่งและตะโกนร้องบอก
“หืม! พวกท่านมาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงร้องของหยางอี้ จงชานก็ไม่กล้าที่จะประมาท แต่เขาก็ยังคงส่งเสียงดังด้วยความโล่งอก จากนั้นคนทั้งหมดต่างหลบการโจมตีอย่างต่อเนื่องของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขา พวกเขาถือโอกาสวิ่งหนีเพื่อไปรวมตัวกับ หยางอี้และพรรคพวกของเขา โดยมีสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาที่วิ่งตามอยู่ข้างหลังพวกเขา
สัตว์อสูรยักษ์ภูเขา ในฐานะสัตว์อสูรขั้นสี่ที่มีความฉลาดระดับหนึ่งแต่ไม่สูงมาก เมื่อเห็นจงชานซึ่งถูกมองว่าเป็นมดมาร่วมมือกับหยางอี้ภายในใจของมันลังเลโดยสัญชาตญาณ จากนั้นก็ก้าวขาและพุ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด
“ไชโย! โอ้โห ข้าเหนื่อยมากเหลือเกิน สัตว์อสูรตนนี้หนังเหนียวเสียจริง โจมตีลงไปคล้ายกับการเกาหลังให้มันโดยแท้” จงชานวิ่งไปยังหยางอี้ จากนั้นอ้าปากค้างหอบหายใจอย่างหนักสองสามครั้ง จากนั้นก็เริ่มบอกเล่าถึงความอึดอัดใจ
“จงชาน! มันน่าจะตึงมือเกินไปสำหรับเจ้า! พลังของเจ้านั้นต่ำกว่ามัน นอกจากนี้มันคือสัตว์อสูรธาตุดินการป้องกันของมันคือจุดแข็ง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าไปนั่งพักข้าง ๆ เถอะ” เมื่อได้ยินดังนั้นจงชานรู้สึกอายเล็กน้อย
เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก หยางอี้พยักหน้าและตบไหล่จงชาน
“โฮก!” หยางอี้และคนอื่น ๆ พูดคุยกันอย่างเพลิดเพลิน แต่สัตว์อสูรยักษ์ภูเขาไม่ให้โอกาสพวกเขาได้พูดคุยกันต่อ หลังจากนั้นเกิดเสียงคำรามและก้อนหินก็ถูกขว้างเข้าใส่พวกเขา
“ฮึก … !” ก้อนหินใหญ่ยักษ์ เมื่อพิจารณาจากรูปร่างแล้วคาดว่ามีน้ำหนักอย่างน้อยหนึ่งตัน เมื่อรวมกับความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขา หินขนาดใหญ่นี้ก็ลอยไปหาหยางอี้และพรรคพวกของเขาอย่างรวดเร็ว ในระหว่างการที่ก้อนหินลอยไป จะได้ยินเสียงหวีดหวิว
ซึ่งเกิดจากความเร็วของก้อนหินนั้น ในพริบตามันเข้าใกล้หยางอี้ แม้ว่าก้อนหินนี้จะน่ากลัว ซึ่งหยางอี้ซึ่งมีการฝึกฝนระดับสูงสุดถึงขั้นสี่ อาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสหากถูกกระแทก แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ เมื่อหยางอี้ไม่ได้เตรียมตัวที่จะป้องกัน