บทที่ 39
ยักษ์ภูเขา
เมื่อหันหน้าไปมองหินก้อนใหญ่ที่พุ่งเข้ามาหา หยางอี้รีบหยิบอาวุธของตนและถ่ายเทพลังปราณอย่างรวดเร็วพร้อมระเบิดพลังออกมา เกิดเป็นใบมีดแสงสีแดงอ่อนพุ่งไปที่ก้อนหิน
“ตูม!” หลังจากนั้นเกิดเสียงดังสนั่น ดาบแสงนั้นหายไปกับตาพร้อมกับก้อนหินใหญ่ ที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ภายใต้การสลายของก้อนหิน ก้อนกรวดที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งเข้าใส่ร่างกายเขาและกระแทกร่างปลิวออกไป
แน่นอนว่าการโจมตีของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขานั้นไม่ธรรมดาเลย การขว้างก้อนหินใส่พวกหยางอี้ แม้ไม่ได้เป็นการโจมตีที่รุนแรงมากนัก แต่หวังผลจากการทำลายก้อนหินนั้น เมื่อ หยางอี้ทุบหินก้อนใหญ่เพื่อทำลายสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาก็พุ่งตามมาและในไม่ช้ามันก็พุ่งเข้าใกล้ร่างของหยางอี้
“ตูม!” หลังจากทำลายก้อนหินได้แล้ว ก่อนที่หยางอี้จะทันได้เตรียมตัวเขาก็เห็นสัตว์อสูรยักษ์ภูเขา ตามมาด้วยกำปั้นขนาดใหญ่ของมัน หยางอี้มีเวลาเพียงแค่คว้าอาวุธเพื่อมาป้องกันเท่านั้น เสียงของหนัก ๆ ทั้งสองชิ้นกระทบกันเกิดเป็นเสียงกังวาน
จากนั้นหยางอี้รู้สึกว่าเท้าของเขาไม่ได้สัมผัสพื้นดิน ทั้งคนและอาวุธก็ปลิวออกไป
หลังจากปลิวถอยหลังไปได้หลายร้อยเมตร หยางอี้ก็ไถลไปกับพื้นและหยุดนิ่ง จากนั้นมุมปากมีเลือดไหลออกมาจาง ๆ และใบหน้าของเขาก็ซีดขาว เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังจากเอาชนะหยางอี้ได้แล้ว สัตว์อสูรยักษ์ภูเขาก็ยังไม่หยุดโจมตีร่างกายของมันเริ่มควบแน่นด้วยความผันผวนของพลังงานที่รุนแรงและเริ่มต้นด้วยการเรียกใช้ทักษะของมัน
“ปัง!” หยางอี้รู้สึกเจ็บปวดไร้เรี่ยวแรง เขากลั้นหายใจในช่วงเวลาหนึ่ง เขารู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของสถานที่โดยรอบบริเวณเขา ทันใดนั้นชั้นดินแหลมและคมก็ปรากฏขึ้นที่เท้าของเขา หยางอี้ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ เขายกดาบขึ้นและฟันลงไปยังดินนั้นโดยตรง จากนั้นเขากระโดดขึ้นไปในอากาศและร่อนลงอย่างทุลักทุเล
สัตว์อสูรยักษ์ภูเขากลับไม่ได้โจมตีจงชานที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่มันนั้นจับตาดูหยางอี้แนบแน่น บางทีอาจเป็นเพราะว่าหยางอี้เป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และทั้งสามคนที่เหลือนั้นไม่สามารถคุกคามมันได้แม้แต่น้อย
ทางด้านหยางอี้เสียจังหวะไปชั่วขณะ เขาถูกสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาทุบตี แม้ว่าการโจมตีส่วนใหญ่จะสามารถหลบเลี่ยงได้ แต่สัตว์อสูรยักษ์ภูเขานั้นได้โจมตีอย่างต่อเนื่องแทบไม่ได้หยุดพัก จากเดิมอาการของหยางอี้ก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว เมื่อต้องใช้กำลังอย่างต่อเนื่อง อาการบาดเจ็บจึงค่อย ๆ ขยายตัว
เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรยักษ์ภูเขานั้นไม่สนใจพวกเขา จงชานและสามคนมองหน้ากัน แล้วรีบวิ่งไปที่สัตว์อสูรยักษ์ภูเขาด้วยความเข้าใจโดยปริยาย
ความแข็งแกร่งของหยางอี้และสัตว์อสูรยักษ์ภูเขานั้นอยู่ในระดับที่เท่ากัน แต่หยางอี้นั้นได้รับความช่วยเหลือจากพรรคพวกและจงชาน ในตอนแรกพวกเขาต่างก็คิดว่า ถึงแม้จะไม่สามารถสังหารสัตว์อสูรลงได้ แต่กำลังของคนทั้งสี่อาจสามารถเอาชนะสัตว์อสูรได้
แต่ผลลัพธ์ไม่มีใครบอกได้จนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ในตอนแรกการโจมตีของพวกเขานั้นดีมาก แต่ใครจะไปคิดว่าภายในพริบตาเดียวมันกลับตาลปัตร ตอนนี้หยางอี้บาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถต่อสู้ได้เหมือนเดิม
และเมื่อเวลาผ่านไป อาการบาดเจ็บก็จะทรุดตัวลงอีก
โชคดีที่ในตอนนี้มีอีกสามคนที่จะสามารถช่วยเหลือสถานการณ์นี้ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นเพียงความหวังเล็ก ๆ เท่านั้น หยางอี้ในตอนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ แต่การโจมตีของหลี่ซูและคนอื่น ๆ ก็ยังไม่สามารถยับยั้งการกระทำของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาที่มุ่งโจมตีหยางอี้ลงไปได้
สำหรับจงชานแม้ว่าในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะสามารถโจมตีสัตว์อสูรได้ แต่กลับไม่สามารถทำให้มันบาดเจ็บได้มากนัก ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสดึงความสนใจของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขา เพื่อสร้างโอกาสให้หยางอี้รักษาตัว
เมื่อใช้ประโยชน์จากช่องว่างระหว่างสัตว์อสูรยักษ์ภูเขากับจงชาน หยางอี้ก็รีบถอนตัวออกจากวงล้อมของการต่อสู้หยิบขวดยาออกมาจากถุงมิติและกลืนมันเข้าไปในปาก จากนั้นเขาก็นั่งลงและเริ่มดูดซับพลังของยาเพื่อการฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ
เพราะความช่วยเหลือของพวกเขาจงชานจึงไม่รู้สึกอับอายอีกต่อไป เขาในตอนนี้สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาได้ดีมากขึ้น อย่างไรก็ตามเขาเป็นฝ่ายตั้งรับเพื่อรอให้หยางอี้ฟื้นตัว
แต่เรื่องราวกลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แม้ว่าหยางอี้จะฟื้นตัวขึ้นมาแต่ร่างกายและพลังก็ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างเคย
อย่างไรก็ตาม ทางด้านของเถาจุนและนักรบที่นำโดยเขานั้นบ่นไม่หยุดหย่อน
จำนวนของพวกเขานั้นน้อยกว่าสัตว์อสูรมาก หากพวกเขาเพียงแค่ต้านทานสักพัก ก็ยังพอมีแรงที่จะสู้ต่อไปได้ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสงครามที่ยืดเยื้อ แม้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากหลินเว่ยจนไม่มีใครเสียชีวิตก็ตาม
แต่พวกเขานั้นก็ไม่สามารถทนอยู่ได้นานนัก ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น แม้แต่โครงกระดูกของหลินเว่ยยังใช้พลังงานมากเกินไป และส่วนหนึ่งของสีของกระดูกของพวกมันก็เริ่มเปลี่ยนไป
หลินเว่ยมองไปรอบ ๆ สักครู่แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หันกลับมามองไปที่กิ้งก่าเพลิง จากนั้นกิ้งก่าเพลิงก็เดินไปยังตำแหน่งของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขา
“นี่! นายน้อย! สัตว์อสูรยักษ์ภูเขาเป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ที่กำลังใกล้จะเลื่อนระดับ ถ้าท่านส่งมันไป เกรงว่า……ในขณะนี้กิ้งก่าเพลิงยักษ์ดึงดูดความสนใจของผู้คนโดยรอบ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถาม แต่เถาจุนนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะเขามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับหลินเว่ย ตอนนี้เมื่อเขาเห็นความไม่รอบคอบของหลินเว่ยที่ส่งสัตว์อัญเชิญออกไปสู้กับสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาที่ทรงพลังเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาจะนำเนื้อเข้าปากเสือชัดๆ!
“มีอะไรหรือ เจ้าคิดว่าสัตว์อัญเชิญของข้าไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรตนนั้นได้หรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน
หลินเว่ยก็ดูผ่อนคลายและถามด้วยรอยยิ้ม
“นี่มัน…!” หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย และเห็นการแสดงออกของเขา เถาจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ในใจของเขานั้นรู้จักกิ้งก่าเพลิงที่ทรงพลัง แต่เพราะเขารู้ว่าหลินเว่ยเป็นเพียงนักรบขั้นสาม และสัตว์อสูรที่เขาอัญเชิญมานั้นมีเพียงขั้นสามเช่นกัน ซึ่งไม่มีวันเอาชนะสัตว์อสูรขั้นสี่ได้ ในความคิดของเขาไม่ว่าจะอัญเชิญสัตว์ใดออกมา แต่ขั้นพลังที่ต่างกันก็ยากที่จะเอาชนะได้
ข้อเท็จจริงได้พิสูจน์แล้วแม้ว่าเถาจุนจะคิดถูกแต่ก็ยังเข้าใจผิดอยู่ อย่างที่เขาเดาได้ คือโครงกระดูกทั้งหมดของ หลินเว่ย อยู่ในขั้นสาม และไม่มีตัวไหนอยู่ในขั้นสี่ ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกมันจึงลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่กิ้งก่าเพลิงของหลินเว่ยนั้น มีสายเลือดพิเศษ นั่นคือเลือดมังกร แม้ว่าจะมีเพียงเบาบาง แต่ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน เพราะมันเป็นเลือดของมังกร
เผ่ามังกรเป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังของเทพและสัตว์อสูร ตราบใดที่เลือดของพวกมันบริสุทธิ์ พวกมันก็จะก้าวไปสู่ระดับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันสามารถไปถึงระดับสัตว์เทพอสูรได้ เนื่องจากเลือดที่ทรงพลังของพวกมันไม่จำเป็นต้องฝึกฝน ตราบเท่าที่พวกมันมีเวลาเพียงพอ พวกมันจะสามารถทะลวงผ่านการเลื่อนขั้นได้