บทที่ 4 ดินแดนในฝัน
หลังจากนั้นไม่นานร่างนั้นก็เดินมาหาหลินเว่ยและหยุดอยู่ตรงหน้า เพราะอีกฝ่ายนั้นสวมเสื้อคลุมจึงทำให้หลินเว่ยมองไม่ชัดว่าเป็นใบหน้าของผู้หญิงหรือผู้ชาย เขาจึงกระแอมไอเบา ๆ และกล่าวว่า “ทักทายสหาย…. ข้ามีชื่อว่าหลินเว่ย แล้วท่าน … ?
โดยไม่รอให้หลินเว่ยพูดจบ อีกฝ่ายก็เพิกเฉยต่อการดำรงอยู่ของเขาและเดินตรงผ่านหลินเว่ยโดยไม่หยุดหันมาพูดกับหลินเว่ยราวกับหลินเว่ยไม่อยู่ในสายตาของอีกฝ่าย
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร?” ร่างนั้นเดินผ่านหลังหลินเว่ยไปแล้วและยืนอยู่บนขอบหน้าผา หลินเว่ยไม่มีเวลาคิดมาก เขารีบติดตามร่างนั้นอย่างกระชั้นชิด เพื่อต้องการจะดูว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ โดยไม่คาดคิดว่า….ตนเองนั้น จะได้เห็นเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น
เขาเห็นกองทัพหนึ่งที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกมังกรอยู่เบื้องล่างซึ่งเป็นกองทัพขนาดใหญ่มาก กองทัพนั้นตั้งแถวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยตั้งแต่เชิงเขาหนึ่งไปยังเชิงเขาอีกลูกหนึ่ง และมองไกลสุดลูกหูลูกตากระจายไปทั่วทุกทิศทุกทางมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดของกองทัพนั้น
ยิ่งกองทัพที่อยู่ใกล้กับหุบเขามากเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น หลินเว่ยนั้นไม่รู้ว่าจะอธิบายในสิ่งที่ตนเองว่าอย่างไรดี อย่างไรก็ตามกองทัพเหล่านั้นต่างก็ก้มหัวลงและคุกเข่าหันหน้าเข้าหาหลินเว่ยกันหมดทุกคน
แน่นอนว่าหลินเว่ยไม่ไร้เดียงสาที่จะคิดว่ากองทัพนี้กำลังแสดงความเคารพต่อเขา และที่นี่มีอีกร่างหนึ่งที่อยู่ที่นี่ กับเขา ดังนั้นเขาจึงเดาว่าต้องเป็นร่างหนึ่งที่เขาเห็นมาก่อนหน้านี้ คนเหล่านี้ต้องเป็นกองทัพของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เงาดำนั้นยังคงยืนอยู่บนขอบหน้าผาสักพัก จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ศีรษะของมังกรดำ จากนั้นมังกรดำก็ยืนขึ้นและสยายปีกกว้าง หลังจากส่งเสียงคำรามอันสะเทือนเลื่อนลั่น มังกรดำใหญ่และร่างหนึ่งบนศีรษะของมันก็กระพือปีกขึ้นเพื่อไปจากสถานที่แห่งนี้ ในพริบตาหลินเว่ยก็มองเห็นพวกเขาลิบ ๆ จากสายตา
แม้ว่ามังกรดำจะบินจากไปแล้ว แต่หลินเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน เพราะอีกฝ่ายจู่ ๆ ก็มาและจู่ ๆ ก็จากไปอย่างไร้คำพูด ทำให้ตัวเขานั้นยังตั้งสติไม่ได้จากเหตุการณ์นี้
ในเวลานี้หลินเว่ยนั้นเห็นว่ากองทัพมังกรกระดูก ซึ่งอยู่บนเชิงหุบเขานั้นบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละตัว เพื่อไล่ตามมังกรดำที่หายไป ในขณะเดียวกันกองกำลังภาคพื้นดินก็เริ่มเคลื่อนไหวราวกับกระแสน้ำหลากในช่วงฤดูฝน เริ่มเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน แต่พวกนั้นหนาแน่นเกินกว่าจะมองเห็นได้ยาก หากไม่ได้จ้องมองอย่างถี่ถ้วน
เมื่อหลินเว่ยคิดว่าตนเองนั้นสมควรจะตามกองทัพนั้นไปด้วยจะดีหรือไม่? แต่ภาพเบื้องหน้าของเขานั้นก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เกิดแสงสว่างแวบผ่านเข้าดวงตา จนทำให้หลินเว่ย ต้องหลับตาลงอย่างทุลักทุเล พอนาน ๆ ไป สายตาของหลินเว่ยก็ค่อยปรับตัวได้
จากนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นแต่สิ่งที่เขาเห็นไม่ใช่ท้องฟ้าสีเทาหรือภูเขาสีแดงแต่เป็นบ้านของเขาเอง
เมื่อเขาเห็นหลังคาที่คุ้นเคยหลินเว่ยก็ลุกขึ้นนั่งทันที และมองไปรอบ ๆ หลาย ๆ ครั้ง หลังจากยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง เขาก็กระโดดโลดเต้นอย่างตื่นเต้นและหัวเราะซ้ำ ๆ : ” ฮ่าฮ่า … “
หลังจากหัวเราะสักพักหลินเว่ยก็รู้สึกเหนื่อย จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเตียงและคิดว่า: “เพราะข้ายังไม่ตาย สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นความฝันแน่นอน อย่างไรก็ตามข้าฝันแปลก ๆ แบบนั้นได้อย่างไร? โดยที่ตัวข้าเองก็ไม่เคยไปสถานที่แห่งนั้นมาก่อนเลย
มันดูเหมือนว่าเป็นเรื่องจริงมาก ๆ แปลกจริง ๆ? ” หลินเว่ย พึมพำ
“แล้ว หินสีดำของข้า…..มันหายไปไหนกัน? จำได้ว่า เขาพึ่งจะหยิบมันมาดูก่อนหน้านี้” หลังจากคิดอยู่นาน หลินเว่ยก็คิดไม่ออก เขาคิดว่ามันอาจจะกลิ้งไปไหนจึงลองมองหาดู และพบว่าหินสีดำนั้นหายไปแล้วจริง ๆ
เมื่อเขาพบว่าหินสีดำหายไป หลินเว่ยก็กระโดดผลุบออกจากเตียงและพลิกตัวไปรื้อเตียง เขาค้นทุกซอกทุกมุมของเตียงหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่พบอะไรเลยนอกจากฝุ่นละออง จากนั้นหลินเว่ยก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออก หลังจากเขย่าเสื้อผ้าอยู่นานก็ไม่พบหินสีดำแม้แต่น้อย
ร่างกายของหลินเว่ยซึ่งเหน็ดเหนื่อยและบาดเจ็บอยู่เป็นทุนเดิมทำให้เขาทนไม่ไหว จนต้องนั่งถอนหายใจและพิงขอบเตียง ตั้งใจว่าจะพักผ่อนสักพักแล้วจากนั้นจึงค่อยลุกขึ้นตามหาหินต่อไป
เมื่อหลินเว่ยหลับตาลงและค่อย ๆ สงบอารมณ์ของเขา จากนั้นร่างของเขาก็ผ่อนคลายลงทันที ในเวลานี้จากความคิดของเขา จู่ ๆ ก็มีคำพูดแปลก ๆ สองสามคำปรากฏขึ้นในความคิดของเขาและพวกมันก็สลับสับเปลี่ยนคำไปเรื่อย ๆ
หลินเว่ยนั้นประหลาดใจ แต่เขานั้นสามารถเข้าใจความหมายของคำที่ปรากฏขึ้นในใจของตนเองได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเรียนรู้มาจากบิดามารดาเมื่อครั้งที่ยังเด็ก แต่มีบางคำที่แปลกประหลาดจริง ๆ
“ลืมไปเถอะ! ข้าไม่อยากจะคิดอะไรอีกแล้ว! บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับหินสีดำที่หาไม่เจอก้อนนั้นก็ได้” หลินเว่ยปล่อยวางเรื่องก้อนหินอีกครั้ง
เมื่อหลินเว่ยสงบใจลงอีกครั้ง คำพูดที่หายไปก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในความคิดของหลินเว่ย คำในนั้นคือ: การคืนชีพนักรบหัวกะโหลก สามารถคืนชีพให้นักรบที่มีความจงรักภักดีจากร่างที่ไร้ชีวิต เงื่อนไขคือการเรียนรู้จากแก่นคริสตัลของสัตว์อสูร
“ทักษะการฟื้นคืนชีพโครงกระดูก ตราบใดที่ดูดซับแก่นคริสตัลใด ๆ จะสามารถเรียนรู้ได้ ไม่อยากจะเชื่อว่ามีของดี ๆ แบบนี้ ไม่น่าจะเป็นแค่เรื่องหลอกลวงหลินเว่ยพูดกับตนเอง
“ข้าอยากลองดูจริง ๆ! หากว่ามันเป็นเรื่องจริง ข้าก็จะมีวิธีปกป้องชีวิตตนเองและจะไม่มีทางถูกรังแกตลอดเวลาเหมือนในตอนนี้”
“อย่างไรก็ตาม แก่นคริสตัลของสัตว์อสูร นี่คือปัญหาใหญ่ แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรระดับต่ำ ราคาต่ำที่สุดนั้น ต้องใช้เหรียญเงิน ในตอนนี้ข้าคงจะต้องหาเงินมาเพื่อซื้อแก่นคริสตัลได้เพียงเท่านั้น พิจารณาจากความแข็งแกร่งของข้า คงไม่สามารถไปตามล่าสัตว์อสูรด้วยตัวคนเดียวได้อย่างแน่นอน “
นิสัยของหลินเว่ยนั้นไม่ใช่คนผัดวันประกันพรุ่ง หลังจากที่เขาตัดสินใจได้แล้ว เขาก็รีบพลิกตัวและลุกขึ้นยืน และเดินที่ลานบ้าน เขาขุดหม้อดินขึ้นมาจากใต้พื้นดินที่มีวัชพืชปกคลุมอย่างแน่นหนา หลังจากเปิดฝา หลินเว่ย ก็เทของที่อยู่ข้างในลงบนพื้นโดยตรง
ปรากฏว่ามีเหรียญทองแดงกลิ้งออกจากโถ ไม่จำเป็นต้องนับ หลินเว่ยก็รู้ทันทีว่ามีเหรียญทองแดงมากกว่าหนึ่งร้อยเหรียญ นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดของเขาในช่วงห้าปีที่ผ่านมา เขาไม่ยอมใช้เงินเพื่อเก็บสะสมและใช้ในยามจำเป็นเท่านั้น แต่ในคราวนี้หลินเว่ยต้องการที่จะเรียนรู้ศิลปะการคืนชีพของนักรบโครงกระดูก
หลินเว่ยห่อเหรียญทองแดงร้อยเหรียญ เก็บเข้าเสื้อคลุมของตนเองอย่างเรียบร้อย แล้วยัดใส่แขนของเขา เปิดประตูและลากสังขารที่เหนื่อยล้าไปที่ร้านขายของชำภายในเมือง
มีร้านขายของชำเพียงร้านเดียวในเมืองนี้ ซึ่งขายข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ร้านค้าอื่น ๆ นั้นไม่ได้อยู่ภายในเมือง แต่อยู่ในมุมตะวันตกเฉียงเหนือใกล้กับกำแพงเมือง ทั้งนี้เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทหารรับจ้างที่ออกไปปฏิบัติภารกิจ
ในตอนนี้มีร้านค้าหลายแห่งที่เชี่ยวชาญในการขายแก่นคริสตัลที่ตั้งอยู่ภายในเมือง แต่หลินเว่ยต้องการเพียงแค่แก่นคริสตัลระดับ 0 เท่านั้น และสำหรับร้านทั่วไปแล้ว แก่นคริสตัลระดับนี้ไร้ประโยชน์ โดยทั่วไปจะใช้เพื่อให้พลังงาน
สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อมอบแสงสว่างในยามค่ำคืนเพียงเท่านั้น