บทที่ 9 การต่อสู้ครั้งแรก
มันคือหนูชนิดหนึ่งที่เป็นสัตว์อสูร มันคือหนูศิลาที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและพบบ่อยมากที่สุด ขนาดตัวของมันใหญ่กว่าหนูธรรมดา ๆ หลายเท่า ท้ายที่สุดมันเป็นก็ยังคงเป็นสัตว์อสูรและขนาดของมันก็ไม่ได้ใหญ่มากมาย
ตามการรับรู้ของหลินเว่ย
เขาพ่นลมหายใจออกมา เนื่องจากความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายไม่ได้มากมายนัก น่าจะอยู่ขั้นที่ศูนย์ ระดับสามถึงห้า
แต่! ความแข็งแกร่งของมันแม้จะอยู่ในระดับล่างสุดของพวกเดียวกัน อย่างไรก็ตามเนื่องจากการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว สัตว์อสูรอื่น ๆ จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะพบกับมันได้ ในบางแห่งหนูศิลานั้นไม่มีศัตรูตามธรรมชาติ
ดังนั้นพวกมันจึงรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่และพวกมันจะย้ายถิ่นฐานออกไปเรื่อย ๆ เมื่อพบว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีกต่อไป แม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูร ขั้นศูนย์ ระดับสี่ถึงระดับห้า แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือ มันทำได้แค่วิ่งวนไปวนมาเท่านั้น
ชายคนหนึ่งและหนูหนึ่งตัว ต่างคนต่างมองหน้ากันสองสามนาที เมื่อหลินเว่ยพบว่ามันเป็นแค่หนูศิลาตัวเดียวเท่านั้น หลินเว่ยก็คิดทันทีว่า “เอาละตอนนี้ มีโอกาสดีที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยได้”
ทันทีที่หลินเว่ยตัดสินใจได้ เขาก็เห็นหนูศิลาพุ่งเข้ามาหาเขา ปรากฏว่าหนูศิลาและหลินเว่ยมองหน้ากันเป็นเวลานานและมันพบว่าหลินเว่ยนั้นไม่ได้คิดจะทำอะไร หนูศิลาจึงริเริ่มที่จะเป็นฝ่ายเข้าโจมตีก่อน
“ไอหย๋า!” เมื่อหลินเว่ยเห็นว่าหนูศิลาวิ่งเข้าหาตน เขาจึงตกใจ หลังจากนั้นเขาร้องตะโกนและรีบถอยออกไป จากนั้นสั่งให้เสี่ยวเฮย ซึ่งยังคงอยู่บนกิ่งไม้เตรียมพร้อมที่จะโจมตี
“พรึ่บ … !” หลังจากร้องเสียงหลงหลายครั้ง หนูศิลาก็รีบวิ่งไปข้างหน้า เนื่องจากการถอยร่นของหลินเว่ยนั้น หนูศิลาจึงเร่งความเร็วในการโจมตีมากขึ้นเนื่องจาก มันเห็นว่าเหยื่อของมันกำลังจะหนีไป
นี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกของหลินเว่ย ถ้าเขาไม่รู้สึกประหม่าเลย นั่นถือว่าเป็นการโกหก ในความเป็นจริงหัวใจของเขานั้นกระโจนไปมาคล้ายกวางที่กำลังจะหนีเสือร้าย แม้แต่การก้าวเท้าถอยหลังของเขาจะยุ่งเหยิงมาก แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปที่ร่างที่กำลังเร่งรีบเข้ามาใกล้ ๆ! เมื่อหลินเว่ยเห็นว่าหนูศิลานั้นพุ่งเข้ามาใกล้ตำแหน่งที่เสี่ยวเฮยจะสามารถโจมตีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เขาจึงสงบใจและคำนวณจังหวะการลอบโจมตีของเสี่ยวเฮยภายในใจ
ตามคำส่งของหลินเว่ย เสี่ยวเฮยที่อยู่บนกิ่งไม้กระโดดลงมาและเล็งไปที่หนูศิลาที่อยู่ข้างล่าง หลังจากที่มันกระโดดลงมา ก็สามารถจับหนูศิลาได้ทันที บางทีมันอาจจะเป็นสัญชาตญาณของเสี่ยวเฮย เมื่อครั้งยังมีชีวิต อุ้งเท้าหลังสองข้างของเสี่ยวเฮยกดลงบนตัวของหนูศิลา และอุ้งเท้าหน้าข้างหนึ่งก็กดลงบนหัวกะโหลกที่กำลังดิ้นรน
“พรึ่บ… !” หนูศิลาที่ถูกตรึงไว้กับพื้นและไม่สามารถขยับได้ ดูลุกลี้ลุกลน ปากของมันยังคงกรีดร้องและหางของมันก็ฟาดลงบนร่างของเสี่ยวเฮย อย่างไรก็ตามเสี่ยวเฮยซึ่งเหลือเพียงกระดูก ก็ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ
“ไม่! หนูศิลากำลังจะใช้ทักษะของมัน รีบกำจัดมันซะ” หลินเว่ยก็รู้สึกว่ามีความผันผวนเล็กน้อยในร่างกายของหนูศิลา เขาตกใจมากและให้คำสั่งเสี่ยวเฮยอย่างเร่งรีบ
แม้ว่าปฏิกิริยาของหลินเว่ยจะรวดเร็ว แต่ก็ยังช้าเกินไป ทักษะของหนูศิลาได้สะสมความแข็งแกร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีหนามดินผุดขึ้นมาจากดินซึ่งมีความยาวกว่าหนึ่งเมตร แทงเขาใส่ร่างของเสี่ยวเฮยในทันที
หนามดินนี้เป็นฝีมือของหนูศิลาเป็นทักษะพื้นฐานของหนูศิลา ถ้าหลินเว่ยโดนหนามดินนี้เข้าไป ไม่ตายก็พิการ แต่สำหรับเสี่ยวเฮยที่เป็นเพียงโครงกระดูก! หนามดินนี้แทงทะลุผ่านช่องว่างซี่โครงสีดำ ขนาดเล็กจากล่างขึ้นบนโดยไร้ความเสียหายใด ๆ
หลินเว่ยกำลังจะเดินเข้าไปด้วยตัวเองและตัดสินใจจะฆ่าหนูศิลาด้วยก้อนหินหรือไม้ดี อย่างไรก็ตามเขาพบว่า ชิ้นส่วนของกระดูกสีน้ำเงินบนหางของเสี่ยวเฮยเปลี่ยนเป็นสีซีดและใบมีวายุสีฟ้าซีดก็พุ่งออกจากปากของเสี่ยวเฮย จากนั้นหลินเว่ยก็เห็นว่าเลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณและหนูศิลาที่ส่งเสียงร้องไม่หยุดก็เงียบลงไป ทันใดนั้นหัวของหนูศิลาก็กลิ้งออกมาจากเท้าของเสี่ยวเฮย
“โอ้! เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ที่เสี่ยวเฮยยังสามารถใช้ทักษะได้ ศิลปะการคืนชีพโครงกระดูกนั้นดีจริง ๆ และยังคงรักษาทักษะไว้ได้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของเสี่ยวเฮย อาจจะแข็งแกร่งกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เนื่องจากในตอนนี้ไม่มีพันธนาการของผิวหนังและเนื้อ แต่ก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถไปได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว
เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาผลประโยชน์ ก่อนอื่นเขาช่วยเสี่ยวเฮยออกมาจากหนามดิน แม้ว่าหนูศิลาจะตายไปแล้ว แต่หนามดินของมัน ก็ยังคงอยู่และไม่ได้สลายไป เนื่องจากการตายของหนูศิลา ดังนั้นหลินเว่ยจึงต้องช่วยเสี่ยวเฮยออกมาด้วยตนเอง
หลังจากช่วยเสี่ยวเฮยแล้วก็ถึงเวลาปล้น ตามปกติแล้วหลินเว่ยจะตรวจสอบก่อนว่ามีแก่นคริสตัลหรือไม่ อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยนั้นไม่ได้คาดหวังอะไร แต่เขาก็ต้องดีใจที่เขานั้นพบ แก่นคริสตัล ขั้นศูนย์ ระดับสี่ หลินเว่ยนั้นดึงเอาแก่นคริสตัลออกมา
ส่วนศพของหนูศิลา เขาผูกเถาวัลย์และแขวนไว้กับไม้ นอกจากนี้ยังมีร่างของกระต่ายหูยักษ์ตัวโตอยู่ด้วย เพราะเขาไม่มีเครื่องมือเขาจึงทำได้แค่เอาร่างทั้งหมดทั้งหมดกลับไป
แม้ว่าหนูศิลาจะตายไปแล้ว แต่กลิ่นของเลือดที่นี่ก็น่าจะดึงดูดสัตว์ป่าอื่น ๆ ได้แม้กระทั่งสัตว์อสูร ดังนั้นหลินเว่ยจึงเปลี่ยนสถานที่อีกครั้ง
คราวนี้เป็นเนินดินเล็ก ๆ เพื่อให้อิ่มท้องนอนหลับอีกครั้งและเติมพลัง เขาเลือกที่รกร้างว่างเปล่านี้เพื่อไม่ให้ถูกรบกวน
เนื่องจากการดำรงอยู่ของเสี่ยวเฮย หลังจากกินและดื่มเพียงพอ หลินเว่ยจึงเข้านอน ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ตื่นขึ้นมาด้วยความเย็นในตอนเช้าและพบว่าตัวเองเปียกไปด้วยน้ำค้าง
เขาเอื้อมมือไปแตะน้ำบนใบหน้า หลังจากกินเนื้อกระต่ายไปแล้วเมื่อวาน เขาก็พาเสี่ยวเฮยไปที่เมือง
ร่างกายของหลินเว่ยเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากเขากินเนื้อของสัตว์อสูรทั้งสองมื้อติดต่อกัน
เนื้อของสัตว์อสูรเป็นยาชูกำลังชั้นยอดสำหรับผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ แม้ว่าจะเป็นเพียงสัตว์อสูรระดับต่ำ แต่สำหรับการขาดสารอาหารมาเป็นระยะเวลานาน นั้นก็ช่วยฟื้นฟูร่างกายของหลินเว่ยได้เป็นอย่างดี
หลังจากนั้นหลินเว่ยสามารถสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขานั้นแข็งแรงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ที่ผ่านมาเขาต้องหยุดพักเหนื่อยอยู่บ่อยครั้ง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าตนเองสามารถเดินได้นานขึ้น โดยที่ไม่ต้องหยุดพักและไม่รู้สึกปวดเมื่อยร่างกายเหมือนเมื่อก่อน
ในตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง เมื่อเขากลับเข้ามาในเมือง หลินเว่ยรู้สึกว่าเขาใช้เวลาสามถึงสี่ชั่วโมงเร็วกว่าเวลาเดิมครึ่งหนึ่ง นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะเก็บแก่นคริสตัลและเนื้อของสัตว์อสูรไว้ และขายเฉพาะซากของสัตว์อสูรเพื่อแลกกับเงิน
“กู่หยุนจ๋าย” เป็นร้านค้าเล็ก ๆ ที่ขายสินค้าที่มาจากสัตว์อสูร การประดับประดาร้านค้าไม่หรูหราเท่าไร ซ้ำยังดูเชย ๆ อีกด้วย แต่บิดามารดาของเขานั้นเคยขายซากสัตว์อสูรให้กับร้านนี้ ดังนั้นหลินเว่ยจึงวางแผนที่จะขายสินค้าให้กับร้านนี้ด้วย