ราชาเหนือราชัน – ตอนที่ 110 : มุ่งหน้าสู้หุบเขาแม่น้ำทองคำ

การคัดเลือกของตำหนักยุทธ์ มีศิษย์ส่วนตัวจำนวนมาก และศิษย์ชั้นในจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกเขาประลองกันเองเพื่อสร้างอำนาจที่นี่ เหลิงฮาน ลู่เสี่ยวฉิง และเซี่ยหลิวฮุยได้ถูกคัดเลือกให้เข้าไปเป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกในที่สุด

พวกเขาต่างเป็นศิษย์ชั้นนอกรุ่นใหม่ และเพิ่งในช่วงเวลาราวหนึ่งปี พวกเขาต่างก็สามารถบรรลุระดับดวงดาว และบรรลุไปถึงขั้นสองหรือสามติดต่อกันหลังจากบรรลุ ในที่สุด พวกเขาต่างก็โดดเด่น และได้เป็นหนึ่งในศิษย์ห้าสิบอันดับในที่สุด อาจกล่าวได้ว่า การเติบโตเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย

สำหรับทั้งสาม เหลิงฮานเป็นหนึ่งในศิษย์ชั้นนอกที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนปรากฏตัวขึ้น ชื่อเสียงของเขาก็จืดจางลง ดังนั้น จึงไม่มีใครตกใจนักเมื่อเขาได้ผ่านการคัดเลือก

ขณะที่ลู่เสี่ยวฉิง นางเป็นศิษย์ที่ถูกผู้อาวุโสหมายเลขสิบเอ็ด ‘เหอหยิงฮวา’หมายตามาอย่างยาวนาน ดังนั้น จึงไม่ได้ทำให้ผู้อื่นแปลกใจนัก ผู้ที่ทุกคนต่างตกใจคือเซี่ยหลิวฮุย เขาเคยเป็นศิษย์ชั้นนอกธรรมดา แต่หลังจากติดตามเซี่ยงเส้าหยุน เขาก็แข็งแกร่งขึ้น และพัฒนาระดับยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วผิดหูผิดตามาก

ในตอนนี้ ลู่เสี่ยวฉิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นสี่ ในขณะที่เซี่ยหลิวฮุยอยู่ช่วงท้ายของระดับดวงดาวขั้นสามหลังจากได้รับผลเขาเงิน ซึ่งแท้จริงแล้ว เขาคงไม่อาจเข้าไปเป็นห้าสิบอันดับแรกได้เลยด้วยซ้ำ

และมันอาจเป็นเพราะเขาโชคดี หากเขาพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อยในการต่อสู้ คงไม่อาจไต่ขึ้นไปถึงอันดับนั้นได้แน่

และด้วยเหตุนี้ ได้มีการตัดสินใจในการคัดเลือกศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของตำหนักยุทธ์ พวกเขาจะเป็นตัวแทนของตำหนักยุทธ์ในการประลองประจำเมือง

การประลองประจำเมืองจะไม่ได้ใช้สนามประลองเหมือนกับการคัดเลือกภายใน แต่ผู้ที่เข้าร่วมจะถูกส่งไปยังซากปรักหักพังโบราณ และถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับบางสิ่ง ซึ่งเข้าจะทราบได้เมื่อไปถึงที่นั้นแล้วเท่านั้น

ตอนนั้นเอง รองเจ้าตำหนัก ผู้อาวุโสที่หนึ่ง ทันกวงหัว เจี้ยฉือ และผู้อาวุโสอีกสองถึงสามคนได้เป็นผู้พาเหล่าศิษย์ไปยังการประลองประจำเมือง ที่หุบเขาแม่น้ำทองคำ

หุบเขาแม่น้ำทองคำอยู่ในความควบคุมของนครขอบนภา ที่นี่เป็นสภานที่ซึ่งแม่น้ำมาบรรจบกัน และถูกปรับเปลี่ยนภูมิประเทศให้เป็นรูปจาน หุบเขาซึ่งเต็มไปด้วยวัสดุสีทอง อาทิ เช่น พืชพรรณ และแม่น้ำสีทอง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ

คนในพื้นที่ของนครขอบนภาต่างทราบกันดีว่า หุบเขาแม่น้ำทองคำเคยเป็นดินแดนขององค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดของนครของนภา และยังใช้นามเดียวกับหุบเขานี้ด้วย

แต่ในที่สุด สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ส่งผลให้องค์กรถูกทำลายลง เหลือเพียงซากปรักหักพังไว้เบื้องหลัง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีนักผจญภัยออกสำรวจหุบเขาแห่งนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะรอดออกไป ในที่สุด นครขอบนภาก็ได้ส่งยอดฝีมือเพื่อสำรวจในที่แห่งนี้ และพบว่ามันถูกยึดครองโดยสายพันธุ์ที่ถูกเรียกด้วยชื่อ ‘จระเข้อสรพิษสีทอง’

เมืองอู่นั้นอยู่ห่างไกลจากหุบเขาแม่น้ำสีทองมาก แต่โชคดี ที่เราสามารถเดินทางผ่านแม่น้ำอู่เพื่อลดระยะทางได้ พวกเขาจึงสามารถมาถึงได้ภายในสิบวัน และด้วยเหตุนี้ ทางตำหนักยุทธ์จึงอนุญาตให้ใช้เรือที่ใหญ่ที่สุด มีธงสลักคำว่า ‘ตำหนักยุทธ์’ ถูกแขวนไว้เหนือเรือ และมันถูกลมพัดจนกระพืออย่างแรง

เหล่าศิษย์ของตำหนักยุทธ์ยืนอยู่บนเรือ พวกเขาล้วนมีอาวุธครบมือราวกับจะไปสู้รบในสงคราม นั่นเพราะพวกเขากพลังจะเข้าร่วมการประลองประจำเมือง ซึ่งเป็นเทศกาลที่จะได้แสดงศักยภาพของตนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

ผู้คนจำนวนมากยืนสองฝั่งของแม่น้ำ มองดูเหล่าศิษย์จากตำหนุกยุทธ์พร้อมให้กำลังใจ เหล่าศิษย์เยาว์วัยที่เข้าร่วมการแข่งขันในนามของเมือง ซึ่งเป็นความหวังของชาวเมือง ทุกคนต่างปรารถนาใหแหล่าผู้เยาว์ได้รับเกียรติยศ และศักดิ์ศรี เรือเริ่มเล่นออกในไม่ช้าจากอาณาเขตของตระกูลอู่

ในตอนนั้นเอง ท่านรองเจ้าตำหนัก ทันกวงหัว ได้กล่าวขึ้น “หลังจากออกจากเมืองอู่ เราจะผ่านเมืองประตูธง ที่นั่นมีศิษย์จากสถาบันประตูธง และพวกเขาจะออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังการประลองประจำเมืองกับเรา แม้ว่าเราจะมีความขัดแย้งกันในอดีต แต่โปรดอย่าทำสิ่งใดระหว่างการเดินทาง เว้นเสียว่าจะถูกยั่วยุ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการไปยังหุบเขาแม่น้ำทองคำได้อย่างปลอดภัย”

เมืองอู่ และเมืองประตูธงเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน และทั้งสองต่างเป็นตัวแทนความแข็งแกร่งของเมืองต่าง ๆ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองจะแข่งขันกัน เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ความคับของใจของทั้งสองเพิ่มขึ้น

“ท่านรองเจ้าตำหนักขอรับ แล้วถ้าหากพวกเขายั่วยุเราล่ะ?” ศิษย์ผู้หนึ่งถามขึ้น

“เราจะไม่ไปรบกวนพวกเขาหากไม่ถูกยั่วยุ แต่หากพวกเขากล้ายั่วยุเรา อืม… เราจะเอาคืนพวกเขาเป็นสองเท่า” ทันกวงหัวกล่าว และเสริม “แต่แน่นอนว่า เราต้องไม่เป็นฝ่านเริ่มต้นความขัดแย้ง หากมีผู้ใดตัดสินใจก่อปัญหาระหว่างเดินทาง อย่ามาโทษต่อสิง่ที่ข้าจะทำกับพวกเจ้าแล้วกัน”

สี่ชั่วโมงผ่านไป เรือของตำหนักยุทธ์ได้มาถึงเมืองประตูธง ที่นั่น มีเรือขนาดใหญ่จอดอยู่ มีธง “สถาบันประตูธง” ถูกแขวนไว้บนเรือ และบนเรือสามารถมองเห็นกลุ่มผู้เยาว์ที่พร้อมต่อสู้เช่นกัน ตอนนี้พวกเขาต่างมองดูศิษย์จากตำหนักยุทธ์ด้วยสายตาเย้ยหยัน

“พี่ทัน พี่เจี้ย ท่านแน่ใจหรือว่าเราจะเดินทางได้อย่างสงบสุข” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

ทันกวงหัวตอบกลับ “ข้าต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องคอย ข้าสงสัยว่าคนของเจ้าพร้อมเดินทางแล้วหรือยัง?”

“แน่นอนเราพร้อมแล้ว เราจะกล้าปล่อยให้พวกท่านรอได้อย่างไรกัน?” ชายผู้นั้นกล่าว ก่อนจะหันไปกล่าวกับเหล่าศิษย์ “ออกเดินทางได้”

“สถาบันประตูธง! ชัยชนะ! สถาบันประตูธง! ชัยชนะ!”

ทันทีที่ออกคำสั่งให้เดินทาง เหล่าผู้เยาว์บนเรือต่างเดินอย่างเป็นกล่าวยกยออย่างเป็นระเบียบ จิตวิญญาณของพวกเขานั้นสูง ท่วงท่าอันไม่มีที่สิ้นสุด และความมั่นใจที่แสดงออกอย่างเต็มที่ให้ทุกคนได้เห็น

เหล่าศิษย์จากตำหนักยุทธ์บางคนรู้สึกประหม่า รู้สึกราวกับถูกสถาบันประตูธงประกาศสงคราม และในแง่ของจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ฝ่ายตำหนักยุทธ์ดูจะอ่อนแอกว่า เรือทั้งสองเริ่มเดินทางเคียงข้างกัน

“ศิษย์พี่ทัน ศิษย์พี่เจี้ย ข้ามีคำถาม เนื่องจากทั้งสองฝ่ายของเราได้เข้าร่วมการประลองประจำเมือง เหตุใดเราจึงไม่ร่วมมือกันเพื่อเข้าสู่สิบอันดับแรกเล่า?” รองอาจารย์ใหญ่ของสถาบันประตูธง ลั่วหลินกล่าว

ลั่วหลินเป็นผู้นำของสถาบันประตูธง ในการเดินทางไปยังการประลองประจำเมือง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีสายตาเฉียบคม ทำให้เห็นว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง และน่าประทับใจ

“ช่างเป็นความคิดที่ดีนัก แต่เราไม่มั่นใจว่าศิษย์ของท่านจะสามารถร่วมมือกับเราได้ ดังนั้น ข้ายังมีคำถามอีกหลายข้อเกี่ยวกับผู้นำที่จะมาเป็นพันธมิตร” ทันกวงหัวกล่าว

“เหอะ เหอะ ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย สถาบันที่แข็งแกร่งกว่าจะได้เป็นผู้นำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามมันยากสำหรับเราทุกคนที่จะเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรก เราควรจะทำงานร่วมกัน เราจึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จที่สูงขึ้น” ลั่วหลินกล่าว ขณะยิ้มอย่างมั่นใจ

ขณะที่ทันกวงหัวกำลังจะตอบกลับ เจี้ยฉือเปิดปากขึ้นก่อน “อย่าหลงเชื่อ พวกเขาคงเตรียมการเอาไว้แล้ว”

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน

我不是大魔王
Score 7.8
Status: Ongoing Released: 2019 Native Language: Chinese
อ่านนิยายเรื่อง I’m not the Overlord! ราชาเหนือราชัน เรื่องย่อ นครขอบนภา เมืองอู่ ตำหนักยุทธ์ ตำหนักยุทธ์คือสถานที่ในเมืองอู่ ที่ได้คัดเลือกผู้ฝึกยุทธ์จากต่างเมืองมาเป็นลูกศิษย์ ทุกฤดูใบไม้ผลิ จะมีการคัดเลือกลูกศิษย์หน้าใหม่ เพราะเหตุนั้น บุตรหลานและผู้เยาว์จากหลากหลายหมู่บ้านใกล้เคียง ต่างก็หลั่งไหลกันมาเพื่อเข้ารับการทดสอบเข้าตำหนักยุทธ์ พวกเขาต่างมาแสวงหาซึ่งกำลัง ในปีนี้ การคัดเลือกเป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์ ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว วันนี้ได้มีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวราวกับบัณฑิตได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหลักของตำหนักยุทธ์ อ้อนวอนขออนุญาตเพื่อให้ได้เข้าไป เด็กหนุ่มผู้นี้น่าจะมีอายุราวสิบห้าถึงสิบหกปีและมีคุณสมบัติที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างดี เป็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าที่หล่อเหลาเจิดจ้า ข้อบกพร่องคือร่างกายมีรูปร่างที่ผอมและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งราวกับผ่านพ้นอะไรมามากมาย ไม่ต่างกับบัณฑิตผู้ยากไร้ “เจ้าหนุ่ม ข้ากล่าวไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? ช่วงเวลาที่ตำหนักยุทธ์ได้คัดเลือกเหล่าลูกศิษย์ได้เสร็จสิ้นไปแล้ว ถ้าหากเจ้าอยากจะเข้าร่วมตำหนัก เจ้าจงรอฤดูใบไม้ผลิครั้งหน้าและจงกลับมาอีกครั้งหนึ่ง” ทหารยามที่ยืนเฝ้าสังเกตการณ์ข้างหน้าตำหนักได้กล่าวต่อสักคำหนึ่งกับเด็กหนุ่มราวกับใกล้จะหมดความอดทน ทหารยามอีกคนหนึ่งเผยท่าทีดุร้ายจับจ้องประหนึ่งคมมีดไปยังเด็กหนุ่มพร้อมตะคอกใส่ “เจ้ามาที่นี่ก็สามวันแล้ว หากเจ้ายังไม่ไปให้พ้นจากตรงนี้ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เตือนนะ” ทหารยามทั้งสองเชี่ยวชาญในการรับมือกับบุคคลที่ไร้ยางอายที่จะคิดเข้าไปให้ได้ เด็กหนุ่มเผยรอยยิ้มเจิดจ้าและหัวเราะ พูดว่า “พี่ชายทั้งสองอย่าทำเช่นนี้เลยข้า เซี่ยงเส้าหยุนเป็นอัจฉริยะที่พบเห็นได้ในรอบร้อยปี! ตราบใดที่พวกท่านอนุญาตให้ข้าเข้าไปข้างใน ข้าก็จะได้เป็นลูกศิษย์ของตำหนักยุทธ์อย่างแน่นอน ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังจะเป็นลูกศิษย์ที่เลิศล้ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของตำหนักยุทธ์! และเมื่อนั้นข้าจะไม่ลืมบุญคุณของท่านทั้งสองเลย” “ไร้สาระ! เรียกตัวเองว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีงั้นรึ? มองดูรูปร่างผอมบางของเจ้าก่อนไหม? ข้าเดิมพันว่าเจ้ารับหมัดของข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ!” ทหารยามเผยสายตาดุร้ายขณะที่เขาตวาดเด็กหนุ่มพร้อมปล่อยหมัดออกไป ขณะที่หมัดกำลังเข้าใกล้ เด็กหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเซี่ยงเส้าหยุนตะโกนขึ้น “หยุดนะ” ดูเหมือนว่าเสียงร้องของเซี่ยงเส้าหยุนจะได้ผล มีพลังอำนาจบางอย่าง ราวกับว่าเขาคือบุคคลที่คนนับหมื่นจะต้องตกอยู่ภายใต้ตัวเขา ทหารยามผู้ที่มีสีหน้าดุดันเหม่อมองชั่วขณะหนึ่ง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่แปลกประหลาดจากตัวเด็กหนุ่ม แรงกดดันมหาศาลที่อธิบายไม่ได้ที่ฉายผ่านดวงตาที่มองมา ถึงแม้ว่าทหารยามยังคงเย้ยหยันอย่างเย็นชา “กลัวแล้วงั้นรึ? งั้นก็ไสหัวไปซะไม่อย่างนั้นวันนี้จะต้องได้เห็นดีกันแน่” “นี่มันช่างน่าขัน นายน้อยผู้นี้ได้พบเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ใยจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า?” เซี่ยงเส้าหยุนคิดกับตัวเอง แต่ทว่าท่าทียังคงชวนสงสารเวทนา เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ดูสิ่งนี้สิ!” ในมือของเขาปรากฎชิ้นส่วนหินที่ส่องแสง หินก้อนนั้นดูบริสุทธิ์และไร้มลทิน ผู้ใดพบเห็นย่อมต้องตกตะลึง ทหารยามหวาดระแวงที่จะจ้องมองหินก้อนนั้น เมื่อมองให้ดี สีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น เซี่ยงเส้าหยุน หัวเราะ “ฮี่ฮี่ อยากได้ใช่มั้ยล่ะ? ถ้าเกิดว่าให้คุณชายคนนี้ได้เข้าสู่ตำหนัก เจ้าเศษหินนี่…” เพี๊ยะ! ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะพูดจบ ทหารยามได้ฟาดฝ่ามือใส่เขา หินส่องแสงโดนตบหลุดไปจากมือของเซี่ยงเส้าหยุน “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้ใช้หินขยะนี่มาติดสินบนข้า! ข้าคิดว่าถ้าเจ้าไม่ได้เห็นโลงศพ เจ้าก็จะไม่มีวันหลั่งน้ำตาสินะ” ทหารยามยกหมัดขวาเข้าใส่เซี่ยงเส้าหยุนและกำลังจะต่อยไปยังใบหน้าของเด็กหนุ่ม “เวรเอ้ย ข้าจะเจอคนมีตาแต่หามีแววไม่อีกเท่าไหร่กัน” เซี่ยงเส้าหยุนก่นด่าตัวเขาเอง เขาหลับตาลงโดยที่ไม่ต้องทะเลาะเพราะรู้ว่าตัวเขาเองไม่มีทักษะที่จะต้านรับมันได้ ขณะที่กำปั้นกำลังจะเข้าไปทักทายใบหน้าของเด็กหนุ่ม ก็มีเสียงทุ้มลึกและดุดัน ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset