การคัดเลือกของตำหนักยุทธ์ มีศิษย์ส่วนตัวจำนวนมาก และศิษย์ชั้นในจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกเขาประลองกันเองเพื่อสร้างอำนาจที่นี่ เหลิงฮาน ลู่เสี่ยวฉิง และเซี่ยหลิวฮุยได้ถูกคัดเลือกให้เข้าไปเป็นศิษย์ห้าสิบอันดับแรกในที่สุด
พวกเขาต่างเป็นศิษย์ชั้นนอกรุ่นใหม่ และเพิ่งในช่วงเวลาราวหนึ่งปี พวกเขาต่างก็สามารถบรรลุระดับดวงดาว และบรรลุไปถึงขั้นสองหรือสามติดต่อกันหลังจากบรรลุ ในที่สุด พวกเขาต่างก็โดดเด่น และได้เป็นหนึ่งในศิษย์ห้าสิบอันดับในที่สุด อาจกล่าวได้ว่า การเติบโตเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย
สำหรับทั้งสาม เหลิงฮานเป็นหนึ่งในศิษย์ชั้นนอกที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนปรากฏตัวขึ้น ชื่อเสียงของเขาก็จืดจางลง ดังนั้น จึงไม่มีใครตกใจนักเมื่อเขาได้ผ่านการคัดเลือก
ขณะที่ลู่เสี่ยวฉิง นางเป็นศิษย์ที่ถูกผู้อาวุโสหมายเลขสิบเอ็ด ‘เหอหยิงฮวา’หมายตามาอย่างยาวนาน ดังนั้น จึงไม่ได้ทำให้ผู้อื่นแปลกใจนัก ผู้ที่ทุกคนต่างตกใจคือเซี่ยหลิวฮุย เขาเคยเป็นศิษย์ชั้นนอกธรรมดา แต่หลังจากติดตามเซี่ยงเส้าหยุน เขาก็แข็งแกร่งขึ้น และพัฒนาระดับยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วผิดหูผิดตามาก
ในตอนนี้ ลู่เสี่ยวฉิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นสี่ ในขณะที่เซี่ยหลิวฮุยอยู่ช่วงท้ายของระดับดวงดาวขั้นสามหลังจากได้รับผลเขาเงิน ซึ่งแท้จริงแล้ว เขาคงไม่อาจเข้าไปเป็นห้าสิบอันดับแรกได้เลยด้วยซ้ำ
และมันอาจเป็นเพราะเขาโชคดี หากเขาพบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อยในการต่อสู้ คงไม่อาจไต่ขึ้นไปถึงอันดับนั้นได้แน่
และด้วยเหตุนี้ ได้มีการตัดสินใจในการคัดเลือกศิษย์ห้าสิบอันดับแรกของตำหนักยุทธ์ พวกเขาจะเป็นตัวแทนของตำหนักยุทธ์ในการประลองประจำเมือง
การประลองประจำเมืองจะไม่ได้ใช้สนามประลองเหมือนกับการคัดเลือกภายใน แต่ผู้ที่เข้าร่วมจะถูกส่งไปยังซากปรักหักพังโบราณ และถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับบางสิ่ง ซึ่งเข้าจะทราบได้เมื่อไปถึงที่นั้นแล้วเท่านั้น
ตอนนั้นเอง รองเจ้าตำหนัก ผู้อาวุโสที่หนึ่ง ทันกวงหัว เจี้ยฉือ และผู้อาวุโสอีกสองถึงสามคนได้เป็นผู้พาเหล่าศิษย์ไปยังการประลองประจำเมือง ที่หุบเขาแม่น้ำทองคำ
หุบเขาแม่น้ำทองคำอยู่ในความควบคุมของนครขอบนภา ที่นี่เป็นสภานที่ซึ่งแม่น้ำมาบรรจบกัน และถูกปรับเปลี่ยนภูมิประเทศให้เป็นรูปจาน หุบเขาซึ่งเต็มไปด้วยวัสดุสีทอง อาทิ เช่น พืชพรรณ และแม่น้ำสีทอง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ
คนในพื้นที่ของนครขอบนภาต่างทราบกันดีว่า หุบเขาแม่น้ำทองคำเคยเป็นดินแดนขององค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดของนครของนภา และยังใช้นามเดียวกับหุบเขานี้ด้วย
แต่ในที่สุด สิ่งต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป ส่งผลให้องค์กรถูกทำลายลง เหลือเพียงซากปรักหักพังไว้เบื้องหลัง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ได้มีนักผจญภัยออกสำรวจหุบเขาแห่งนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่จะรอดออกไป ในที่สุด นครขอบนภาก็ได้ส่งยอดฝีมือเพื่อสำรวจในที่แห่งนี้ และพบว่ามันถูกยึดครองโดยสายพันธุ์ที่ถูกเรียกด้วยชื่อ ‘จระเข้อสรพิษสีทอง’
เมืองอู่นั้นอยู่ห่างไกลจากหุบเขาแม่น้ำสีทองมาก แต่โชคดี ที่เราสามารถเดินทางผ่านแม่น้ำอู่เพื่อลดระยะทางได้ พวกเขาจึงสามารถมาถึงได้ภายในสิบวัน และด้วยเหตุนี้ ทางตำหนักยุทธ์จึงอนุญาตให้ใช้เรือที่ใหญ่ที่สุด มีธงสลักคำว่า ‘ตำหนักยุทธ์’ ถูกแขวนไว้เหนือเรือ และมันถูกลมพัดจนกระพืออย่างแรง
เหล่าศิษย์ของตำหนักยุทธ์ยืนอยู่บนเรือ พวกเขาล้วนมีอาวุธครบมือราวกับจะไปสู้รบในสงคราม นั่นเพราะพวกเขากพลังจะเข้าร่วมการประลองประจำเมือง ซึ่งเป็นเทศกาลที่จะได้แสดงศักยภาพของตนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
ผู้คนจำนวนมากยืนสองฝั่งของแม่น้ำ มองดูเหล่าศิษย์จากตำหนุกยุทธ์พร้อมให้กำลังใจ เหล่าศิษย์เยาว์วัยที่เข้าร่วมการแข่งขันในนามของเมือง ซึ่งเป็นความหวังของชาวเมือง ทุกคนต่างปรารถนาใหแหล่าผู้เยาว์ได้รับเกียรติยศ และศักดิ์ศรี เรือเริ่มเล่นออกในไม่ช้าจากอาณาเขตของตระกูลอู่
ในตอนนั้นเอง ท่านรองเจ้าตำหนัก ทันกวงหัว ได้กล่าวขึ้น “หลังจากออกจากเมืองอู่ เราจะผ่านเมืองประตูธง ที่นั่นมีศิษย์จากสถาบันประตูธง และพวกเขาจะออกเดินทางเพื่อมุ่งหน้าไปยังการประลองประจำเมืองกับเรา แม้ว่าเราจะมีความขัดแย้งกันในอดีต แต่โปรดอย่าทำสิ่งใดระหว่างการเดินทาง เว้นเสียว่าจะถูกยั่วยุ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการไปยังหุบเขาแม่น้ำทองคำได้อย่างปลอดภัย”
เมืองอู่ และเมืองประตูธงเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน และทั้งสองต่างเป็นตัวแทนความแข็งแกร่งของเมืองต่าง ๆ ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ทั้งสองจะแข่งขันกัน เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ความคับของใจของทั้งสองเพิ่มขึ้น
“ท่านรองเจ้าตำหนักขอรับ แล้วถ้าหากพวกเขายั่วยุเราล่ะ?” ศิษย์ผู้หนึ่งถามขึ้น
“เราจะไม่ไปรบกวนพวกเขาหากไม่ถูกยั่วยุ แต่หากพวกเขากล้ายั่วยุเรา อืม… เราจะเอาคืนพวกเขาเป็นสองเท่า” ทันกวงหัวกล่าว และเสริม “แต่แน่นอนว่า เราต้องไม่เป็นฝ่านเริ่มต้นความขัดแย้ง หากมีผู้ใดตัดสินใจก่อปัญหาระหว่างเดินทาง อย่ามาโทษต่อสิง่ที่ข้าจะทำกับพวกเจ้าแล้วกัน”
สี่ชั่วโมงผ่านไป เรือของตำหนักยุทธ์ได้มาถึงเมืองประตูธง ที่นั่น มีเรือขนาดใหญ่จอดอยู่ มีธง “สถาบันประตูธง” ถูกแขวนไว้บนเรือ และบนเรือสามารถมองเห็นกลุ่มผู้เยาว์ที่พร้อมต่อสู้เช่นกัน ตอนนี้พวกเขาต่างมองดูศิษย์จากตำหนักยุทธ์ด้วยสายตาเย้ยหยัน
“พี่ทัน พี่เจี้ย ท่านแน่ใจหรือว่าเราจะเดินทางได้อย่างสงบสุข” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ทันกวงหัวตอบกลับ “ข้าต้องขออภัยที่ทำให้เจ้าต้องคอย ข้าสงสัยว่าคนของเจ้าพร้อมเดินทางแล้วหรือยัง?”
“แน่นอนเราพร้อมแล้ว เราจะกล้าปล่อยให้พวกท่านรอได้อย่างไรกัน?” ชายผู้นั้นกล่าว ก่อนจะหันไปกล่าวกับเหล่าศิษย์ “ออกเดินทางได้”
“สถาบันประตูธง! ชัยชนะ! สถาบันประตูธง! ชัยชนะ!”
ทันทีที่ออกคำสั่งให้เดินทาง เหล่าผู้เยาว์บนเรือต่างเดินอย่างเป็นกล่าวยกยออย่างเป็นระเบียบ จิตวิญญาณของพวกเขานั้นสูง ท่วงท่าอันไม่มีที่สิ้นสุด และความมั่นใจที่แสดงออกอย่างเต็มที่ให้ทุกคนได้เห็น
เหล่าศิษย์จากตำหนักยุทธ์บางคนรู้สึกประหม่า รู้สึกราวกับถูกสถาบันประตูธงประกาศสงคราม และในแง่ของจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียว ฝ่ายตำหนักยุทธ์ดูจะอ่อนแอกว่า เรือทั้งสองเริ่มเดินทางเคียงข้างกัน
“ศิษย์พี่ทัน ศิษย์พี่เจี้ย ข้ามีคำถาม เนื่องจากทั้งสองฝ่ายของเราได้เข้าร่วมการประลองประจำเมือง เหตุใดเราจึงไม่ร่วมมือกันเพื่อเข้าสู่สิบอันดับแรกเล่า?” รองอาจารย์ใหญ่ของสถาบันประตูธง ลั่วหลินกล่าว
ลั่วหลินเป็นผู้นำของสถาบันประตูธง ในการเดินทางไปยังการประลองประจำเมือง เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีสายตาเฉียบคม ทำให้เห็นว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง และน่าประทับใจ
“ช่างเป็นความคิดที่ดีนัก แต่เราไม่มั่นใจว่าศิษย์ของท่านจะสามารถร่วมมือกับเราได้ ดังนั้น ข้ายังมีคำถามอีกหลายข้อเกี่ยวกับผู้นำที่จะมาเป็นพันธมิตร” ทันกวงหัวกล่าว
“เหอะ เหอะ ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย สถาบันที่แข็งแกร่งกว่าจะได้เป็นผู้นำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามมันยากสำหรับเราทุกคนที่จะเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรก เราควรจะทำงานร่วมกัน เราจึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จที่สูงขึ้น” ลั่วหลินกล่าว ขณะยิ้มอย่างมั่นใจ
ขณะที่ทันกวงหัวกำลังจะตอบกลับ เจี้ยฉือเปิดปากขึ้นก่อน “อย่าหลงเชื่อ พวกเขาคงเตรียมการเอาไว้แล้ว”