ศิษย์จากสถาบันประตูธงต่างส่งเสียงด้วยความสุขเมื่อเห็นว่ามีผู้ท้าทายพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ปฏิเสธ หลายปีที่ผ่านมา ทั้งสองสถาบันต่างต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด จนถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าฝ่ายไหนคือผู้ชนะที่แน่ชัด
และตอนนี้ จะได้รู้ได้เสียทีว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ที่เหนือกว่า และด้วยความพ่ายแพ้ของตำหนักยุทธ์ในครานี้ทำให้พวกเขาสูญเสียความภาคภูมิใจ แต่ดูเหมือนจะมีใครบางคนท่ามกลางพวกเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และยังพยายามที่จะตายอย่างนั้นหรือ?
“ลูกพี่ เขาบอกว่าจะสังหารท่านด้วยนิ้วเดียว ท่านจะยอมหรือ?” เซี่ยหลิวฮุยถาม
เซี่ยงเส้าหยุนต้องการตบสหายผู้นี้ให้ตาย เขามักจะก่อปัญหาเช่นนี้ให้เสมอ แต่ด้วยเซี่ยหลิวฮุยไม่อาจทนต่อทัศนคติของสถาบันประตูธงได้ ในฐานะลูกพี่เขาจึงต้องคอยหนุนหลัง
เซี่ยงเส้าหยุนเผยท่าทีเกียจคร้าน และกล่าว “สังหารข้าด้วยหนึ่งนิ้วหรือ? ว้าว ข้ากลัวจังเลย!”
“หากเจ้ากลัวก็จงหุบปากเสีย บางคำก็ไม่ควรจะเอ่ยโดยง่าย” ผู้ที่แข็งแกร่งตอบกลับจากเรืออีกลำ
ลั่วหลินไม่ได้ทำสิ่งใด และอนุญาตให้ศิษย์แสดงความเย้ยหยันต่อตำหนักยุทธ์ การได้รับชัยชนะต่อตำหนักยุทธ์เป็นสิ่งยากยิ่ง
ชั่วขณะที่เซี่ยงเส้าหยุนกล่าวบางสิ่ง ทันกวงหัวมองไปที่เด็กหนุ่ม และประกาศ “หยุดเย้ยหยันได้แล้ว! แม้ตำหนักยุทธ์จะพ่ายแพ่ แต่เราก็กล้าพอจะยอมรับมัน เราจะได้อะไรจากการทะเลาะเบาะแว้งนี้?”
เมื่อเซี่ยงเส้าหยุนเห็นสายตาที่ทันกวงหัวจ้อง เขากล่าว “ท่านรองเจ้าตำหนัก ถอยไปก่อน ข้าจะสอนบทเรียนแก่พวกเขาเอง”
ท่าทีอันโง่เขลา และบ้าดีเดือดนั่น เซี่ยงเส้าหยุนดูหมิ่นทันกวงหัว ก่อนจะชี้ไปที่ลั่วหลิน “นี่ เจ้าสุนัขเฒ่า! หลังจากเอาชนะเราได้ด้วยข้อเสนอของตนเอง ตอนนี้เจ้ายังคาดหวังให้ตำหนักยุทธ์ช่วยให้พวกเจ้าขึ้นไปเป็นสิบอันดับแรกอีกหรือ?”
ลั่วหลินขมวดคิ้ว และตะโกน “สามหาว! เจ้ากล้าด่าข้ารึ?”
เซี่ยงเส้าหยุนพับแขนเสื้อขึ้น และวางมือทั้งสองไว้ที่สะโพก ก่อนจะตะโกน “แล้วถ้าข้าด่าเจ้าล่ะ? ตาเฒ่าโง่ ส่งศิษย์ของเจ้ามาหาข้าเลย ข้าจะจัดการพวกเขาทั้งหมดเอง ให้ข้าได้เห็นความสามารถของพวกเจ้าซะ นี่พวกเจ้ากล้าฝันว่าตำหนักยุทธ์จะเชื่อฟังคำสั่งของพวกเจ้าเชียวรึ”
คำเหล่านั้นทำให้สถาบันประตูธงโมโหมาก แม้แต่รองอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาก็โดนด่าเช่นนี้ และเขาก็ยังดูถูกสถาบันเพียงนี้ จะให้ทนกับคำสบประมาทได้เช่นไร?
“ท่านรองอาจารย์ใหญ่ ให้ข้า ลาหลิวเฟิง ได้สอนบทเรียนแก่เขาด้วย!” เด็กหนุ่มกล่าวขึ้น ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับตะโกนใส่เซี่ยหลิวฮุยเมื่อครู่ ลาหลิวเฟิงคือเด็กหนุ่มที่กลัวเซี่ยงเส้าหยุนจนหัวหดในตอนที่ได้พบกันที่เทือกเขาร้อยสัตว์อสูรเมื่อไม่นานมานี้ ชั่วขณะที่ต้องมองไปที่เซี่ยงเส้าหยุน เขาได้แต่คิดถึงหนทางที่จะล้างแค้น และตอนนี้เวลานั้นก็ได้มาถึง เขาจะไม่มีวันปล่อยโอกาสนี้แน่นอน
“ตกลง ต้องมันใจว่าจะไม่สังหารเขานะ ทำให้พิการก็พอ” ลั่วหลินกล่าว สีหน้าโกรธเกรี้ยว เขสไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าตบหน้าเซี่ยงเส้าหยุนให้ตาย แต่ด้วยสถานะของตนเอง หากทำเช่นนั้นมีแต่จะทำให้เสื่อมเสีย
ลาหลิวเฟิงก้าวออกมาเบื้องหน้า เขาชี้ไปที่เซี่ยงเส้าหยุน และตะโกน “ย้ายก้นของเจ้ามาเดี๋ยวนี้! เจ้ากล้าด่าพวกเราหรือ? ข้า ลาหลิวเฟิง จะจัดการเจ้าเอง!”
นับจากวันสุดท้ายที่ทั้งสองได้เจอกัน ลาหลิวเฟิงได้บรรลุระดับดวงดาวขั้นสี่ จากระดับดวงดาวขั้นแรก ช่างเติบโตได้เร็วนัก
เซี่ยงเส้าหยุนแคะหู และกล่าว “แล้วทำข้าต้องสู้กับเจ้าด้วยเล่า? มันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าศิษย์จากสถาบันประตูธงเริ่มก่นด่าเขาอีกครั้ง พวกเขาคิดเพียงเด็กหนุ่มผู้นี้พูดจาใหญ่โต แต่แท้จริงแล้วเป็นคนขลาดที่ไม่กล้าต่อสู้
แต่ไม่ใช่กับคนของตำหนักยุทธ์ พวกเขาทราบดีว่าเซี่ยงเส้าหยุนแข็งแกร่งเพียงใด เพียงไม่กี่เดือน เขาสามารถเอาชนะหลี่เถียนปาซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นแปดได้ ดังนั้น เขาจะเป็นคนขลาดไปได้อย่างไร
ทันกวงหัวกำลังจะหยุดเซี่ยงเส้าหยุน เมื่อเห็นว่าเจี้ยฉือเริ่มเริ่มคุยกับเขาผ่านการส่งเสียง “ปล่อยให้เขาทำต่อไป บางทีนี่อาจจะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นก็ได้
เมื่อเจี้ยฉือกล่าวเช่นนี้ ทันกวงหัวจึงไม่ทำสิ่งใด ไม่ว่ากรณีใด พวกเขาก็ได้แพ้การเดิมพันแล้ว ตอนนี้ก็ไม่มีสิ่งใดจะเสียอีก
“เจ้าคนขลาด เจ้าต้องการอะไร? อย่าลังเลที่จะกล่าวมัน! ข้าจะตอบสนองความต้องการนั่นเอง!” ลาหลิวเฟิงตะโกน
“ตำหนักยุทธ์จะต้องเชื่อฟังสถาบันประตูธงหลังจากพ่ายแพ้ ใช่ไหม? หากเจ้าแพ้ จงยกเลิกข้อตกลงนั่นซะ” เซี่ยงเส้าหยุนตอบกลัย
“ช่างกล้า! พวกเราได้ตัดสินใจแล้ว! เราจะยกเลิกมันง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?” ลั่วหลินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ เขาจ้องไปที่ทันกวงหัว และเจี้ยฉือ “ศิษย์จากตำหนักยุทธ์เป็นเช่นนี้หรือ? หากเจ้าพ่ายแพ้อีกก็จะไม่เหลือเกียรติ และศักดิ์ศรีอีก หากพวกเจ้ากลัวก็ไม่ควรตกลงเดิมพันตั้งแต่แรก”
ก่อนที่ทันกวงหัว และเจี้ยฉือจะทันได้ตอบกลับ เสียงของเซี่ยงเส้าหยุนได้ดังขึ้นอีกครั้ง “ตาเฒ่าโง่ ท่านรองเจ้าตำหนัก และผู้อาวุโสที่หนึ่งของเราไม่ต้องการให้เจ้าลำบากใจ หากพวกเขาส่งข้าออกไปตั้งแต่ทีแรก จะไม่มีใครในหมู่พวกเจ้าสามารถต่อสู้กับข้าได้เลย อะไร? เจ้าไม่เชื่อข้าหรือ? ดีเลย ข้าจะให้เขาเข้ามาสู้พร้อมกับสหายอีกสามคน!”
เซี่ยงเส้าหยุนทำตัวเหมือนคนโง่เขลา สร้างความสบประมาทให้แก่ฝ่ายตรงข้าม นี่เขาไม่เห็นศิษย์ผู้เป็นยอดฝีมือระดับแปรสภาพของสถาบันประตูธงในสายตาเลยหรือ? แถมยังกล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้อีก ดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มที่คุยโอ้อวดได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ต้องยอมรับว่าคำของเซี่ยงเส้าหยุนได้ผลดีเยี่ยม ด้วยศิษย์ของสถาบันประตูธงต่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าเด็กนี่อวดดีนัก! ไม่เพียงแต่ด่ารองอาจารย์ใหญ่ของเรา แต่ยังยั่วยุเราทั้งหมดอีด! ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
“ท่านรองอาจารย์ใหญ่ โปรดอนุญาตด้วย! เราจะทรมานมันจนเจียนตาย! ให้เราได้แสดงให้มันได้เห็น”
“ใช่แล้ว! เราต้องอยากจะสอนบทเรียนแก่เขาให้อย่างดี เราจะไม่ทนกับคำอวดดีอีกต่อไปแล้ว!”
“เราจะจัดการกับศิษย์สามคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกมันไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องทนกับคำสบประมาทของเด็กคนนี้ ดังนั้นให้ข้าได้ไปขยี้เขาด้วยเถิด
ศิษย์จากสถาบันประตูธงเริ่มตะโกนเสียงดังขึ้น พวกเขาต้องการฉีกเซี่ยงเส้าหยุนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ในขณะที่ลู่เสี่ยวฉิงมายืนเคียงข้างเซี่ยงเส้าหยุน และพูดอย่างใจจดใจจ่อ “เส้าหยุน อย่าปล่อนให้อารมณ์เหล่านี้เข้ามาในหัวของเจ้าได้นะ”
“ถอยไปก่อน ข้าไม่กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย” เซี่ยงเส้าหยุนกล่าว เขายกนิ้วกลางให้แก่คนจากสถาบันประตูธง ก่อนจะกล่าว “เข้ามา! แน่จริงก็เข้ามาเลย! ข้า เซี่ยงเส้าหยุน จะอนุญาตให้ส่งใครก็ได้ที่พวกเจ้าต้องการ ถ้าหากข้าถูกสังหาร ทางตำหนักยุทธ์จะไม่สนใจต่อเรื่องนี้ แต่หากพวกเจ้าแพ้ จงยกเลิกข้อตกลงเสีย”
“ตกลง เจ้าพูดแล้วนะ อย่ามากล่าวโทษพวกข้าหากเจ้าตายล่ะ!” ลั่วหลินกล่าว
เขาเห็นว่าเซี่ยงเส้าหยุนเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเจ็ด แม้จะแข็งแกร่งกว่าระดับของตนมากเพียงใด แต่ก็คงสามารถเอาชนะได้เพียงแค่ขั้นแปด ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว
“เข้ามา และจงพบกับความตาย!” ลาหลิวเฟิงกระโดดไปยังไม้กระดานด้วยหมดความอดทน และตะโกนขณะชี่ไปที่เซี่ยงเส้าหยุน
ลั่วหลินไม่อาจหยุดเขาได้ในเวลานี้ ดังนั้น เขาทำได้เพียงถอนหายใจ หลิวเฟิงเป็นศิษย์ที่มีแนวโน้มที่ดี มันจะเป็นประโยชน์สำหรับเขาที่จะได้รับบทเรียนใหม่ ไม่ว่ากรณีใด เด็กหนุ่มที่พูดจาอวดดีคนนี้เป็นผู้อนุญาตให้ส่งใครไปก็ได้ การพ่ายแพ้ครั้งเดียวไม่ได้สำคัญกับเราเลย
ก่อนที่เซี่ยงเส้าหยุนจะกระโดดลงจากเรือ กงฉินหยินปรากฏข้างเคียง และกล่าว “หากเจ้าสามารถยกเลิกข้อตกลงได้ เรื่องระหว่างเราถือเป็นโมฆะ”
ก่อนหน้านี้ กงฉินหยินต้องการก้าวออกไป และประลองด้วยตนเอง แต่นางยังอยู่แค่ขั้นเจ็ด แม้แต่ไพ่ตายของนาง ก็คงเอาชนะได้เพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับดวงดาวขั้นเก้าเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับแปรสภาพ ความกล้าหาญของเซี่ยงเส้าหยุนในการเดิมพันด้วยชีวิตเปิดเส้นทางใหม่ให้แก่นาง